วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Whiplash (2014): หวดยิกๆ พิชิตฝัน



Whiplash (2014): หวดยิกๆ พิชิตฝัน

     หนังดราม่า/ดนตรี เล็กๆ ที่เกี่ยวกับหนุ่มมือกลองแจ๊สกับอาจารย์จอมโหดแถมปากหมาเรื่องนี้ เดินสายกวาดรางวัลเวทีต่างๆ มาเพียบ รวมถึงอนาคตที่อาจไปไกลถึงเวทีออสก้าร์เลยทีเดียว

     Damien Chazelle ผกก.หนุ่มวัย 29 ขวบ นำเอาประสบการณ์ของตนสมัยยังเป็นนักเรียนดนตรีมาเขียนบท/กำกับเอง ซึ่งก็ออกมาไม่ซ้ำรอยกับทรงนิยมของหนังดนตรีทั่วๆ ไป และสามารถแจ้งเกิดให้แก่เขาในฐานะ ผกก.คลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองจริงๆ

     ใครคิดว่าหนังที่เกี่ยวกับดนตรีแจ๊สเรื่องนี้จะออกมานุ่มนิ่มน่าเบื่อล่ะก็คิดใหม่ได้เลย เพราะหนังถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเร้าใจ ทั้งจากจังหวะดนตรีแจ๊ส เรื่องราว การลำดับภาพ รวมทั้งการแสดงอันยอดเยี่ยมของสองนักแสดงนำ โดยเฉพาะในส่วนของลุง J.K. Simmons ที่บทบาทในเรื่องนี้จะทำให้แกกลับมาเป็นที่ต้องการตัวอีกอย่างแน่นอน

     หนังไม่มากับสูตรสำเร็จ ไม่มองโลกสวย แต่บอกว่าความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่ายๆ เราต้องฝ่าฟันถึงจะได้มันมา และบางครั้งเราก็ต้องยอมจ่ายราคาค่างวดอันแสนแพงเพื่อแลกมันมา โดยหนังนำเรื่องในแวดวงดนตรีมาเล่าให้เห็นเป็นรูปธรรมขึ้น

     คนที่ชอบดนตรีรักดนตรีคงจะปลื้มกันแน่ๆ ส่วนบรรดาขาจรก็คงชื่นชอบได้ไม่ยากเลย เพราะหนังไม่ได้ดูยาก ไม่ต้องแบกบันไดมาปีนดู และจะว่าไปแล้วหนังออกมาเร้าใจซะยิ่งกว่าหนังแอ็คชั่นฟอร์มยักษ์หลายๆ เรื่องเลยล่ะ

     และท้ายที่สุดแล้วดนตรีคือสิ่งวิเศษที่สามารถก่อให้เกิดการให้อภัยและก่อให้เกิดมิตรภาพ ที่ทรงประสิทธิภาพมากยิ่งกว่าคำพูดนับล้านคำเสียอีก จริงๆ นะ ไม่ได้โม้




นี่คือหนึ่งในหนังยอดเยี่ยมแห่งปีนี้ครับ อย่าพลาดเชียวล่ะ

ปล.มันคือหนังที่จะทำให้ท่านอยากหาเพลงแจ๊สมาฟังขึ้นมาในบัดดล







*ช่วงเพลงในหนัง*
ผกก.Damien Chazelle และเพื่อนซี้ Justin Hurwitz ที่มาทำเพลงประกอบให้หนัง

     เพลงประกอบของหนัง Whiplash อยู่ในการดูแลของ Justin Hurwitz คอมโพเซอร์หนุ่มซึ่งเคยเป็นรูมเมทกับ ผกก.Damien Chazelle และเคยเล่นดนตรีวงเดียวกันสมัยเรียนอีกด้วย อันที่จริงทั้งคู่ร่วมงานกันมาตั้งแต่สมัยหนังนักศึกษาของ Chazelle เรื่อง Guy and Madeline on a Park Bench (2009) โน่นแล้ว


และนี่คือตัวอย่างของเพลงจากหนังเรื่องนี้


วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

Interstellar (2014): สัญญาณรักข้ามจักรวาล



Interstellar (2014): สัญญาณรักข้ามจักรวาล

     Christopher Nolan ผกก.ขวัญใจมหาชนคนดูหนังมีผลงานออกมาทีไรเป็นต้องสร้างความฮือฮาให้แก่แฟนๆ ได้ทุกครา และสำหรับผลงานลำดับที่เก้าของแกนี้ก็คิดการใหญ่ขอพาตะลุยอวกาศ ทะลุจักรวาล ทิ้งดิ่งสู่ Black Hole (ที่ไม่ใช่ Back Hole นะ อิอิ) กันเลยทีเดียว

     หนังรวบรวมบรรดานักแสดงมีเกรดระดับออสก้าร์มาอย่างคับคั่ง ทุนสร้างก็มิใช่น้อย (หนังยาว 169 นาทีใช้ทุนสร้างเฉลี่ยนาทีละเกือบล้านเหรียญ) ดังนั้นงานสร้าง เอฟเฟกต์ต้องออกมาดีหนึ่งประเภทหนึ่งอยู่แล้ว และด้วยวิสัยทัศน์อันสุดติ่งกระดิ่งเหมียวของ ผกก.แก หนังจึงมีอะไรๆ ที่น่าทึ่งมาฝากอย่างแน่นอน

     และอย่างที่ทราบ หนังของแกนั้นมักต้องใช้การประมวลผลของซีพียูในสมองมากพอควร จึงไม่เหมาะที่จะดูแบบลืมพกสมองติดตัวไปด้วย และเรียกร้องการดูมากกว่าหนึ่งรอบ เพราะมีอะไรๆ ให้เก็บตก คิดตาม ถกเถียงกันมากมาย ซึ่งเรื่องนี้ก็เต็มไปด้วยฉากสนทนาศัพท์แสงและทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย จึงอาจทำให้บางคนตามไม่ค่อยทัน และพาลจะรู้สึกว่าหนังน่าเบื่อไปเลยก็ยังได้ในช่วงแรกๆ (โปรดจูนสมองก่อนรับชม)

     บางคนดูแล้วหนังอาจจะคิดว่าไม่สนุกเท่า ไม่เจ๋งเท่า ไม่เข็มขัดสั้นเท่า ผลงานที่ผ่านๆ มา มีหลายอย่างที่ดูจะไม่ค่อยเคลียร์ (คือดูแล้วงงว่างั้น) แถมช่วงแรกยังชวนหลับเสียอีก แต่ก็ยังถือว่าเป็นผลงานระดับคุณภาพประเทืองปัญญา และบอกได้เลยว่านี่เป็นผลงานที่มีอารมณ์ความรู้สึกมากที่สุดของแกแล้วล่ะมั้ง

     พี่น้องอาจติว่าเราให้คะแนนน้อยไป ซึ่งนี่ก็วัดจากการรับชมครั้งแรกที่ยังจูนสมองให้ไปกับตัวหนังได้ไม่ค่อยดีนัก เชื่อว่าหากดูอีกสักรอบสองรอบก็คงจะเก็บเกี่ยวความดีงามจากหนังได้มากกว่านี้ และนี่แหล่ะคือเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของหนัง ผกก.Nolan เขาล่ะเนอะ


ปล.ดนตรีประกอบของ Hans Zimmer ยังคงส่งอารมณ์ของหนังได้อย่างดีเยี่ยม












*รีวิวหนังเรื่องอื่นของ ผกก.Christopher Nolan ภายในบล็อก*
 

วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

The Equalizer (2014): จับเวลาบู๊

The Equalizer (2014): จับเวลาบู๊

     ลุง Denzel Washington กลับมาร่วมงานกับ ผกก.Antoine Fuqua อีกครั้งหลังจากเคยกอดคอกันได้ดิบได้ดีจาก Training Day (2001)

     หนังแอ็คชั่นทริลเลอร์เรื่องนี้สร้างจากทีวีซีรี่ส์ชื่อเดียวกันที่เคยออกอากาศช่วงกลาง-ปลายยุค 80 อันว่าด้วยเรื่องราวของอดีตสายลับสุดเก๋าที่ต้องลุกขึ้นมาปราบปรามเหล่าร้ายที่มีอยู่เกลื่อนสังคม

     เวอร์ชั่นโรงนี้ทำออกมาได้สุดติ่งกระดิ่งแมวดีแท้ ถึงพระเอกจะออกมาเก่งเทพแต่ก็ไม่ได้ดูน่าเบื่อหรือยัดฉากแอ็คชั่นมาจนเฝือแต่ประการใด

     ถึงลุงแกจะมากับมาดเข้มๆ ขรึมๆอย่างที่เราคุ้นเคย แต่ไอ้ภาพลักษณ์ของแกแบบนี้นี่แหล่ะที่ได้ใจแฟนๆ มาหลายเรื่องแล้วไม่ใช่หรอ และดูแกจะขยันทำการบ้านในการเพิ่มรายละเอียดอาการย้ำคิดย้ำทำลงไปในตัวละคร ทำให้ดูเป็นฮีโร่ที่แปลกแตกต่างดีทีเดียว

     การกลับมาป๊ะกันครั้งนี้จึงเป็นการดีสำหรับทั้งคู่อีกครั้ง โดยเฉพาะสำหรับด้าน ผกก.Fuqua ที่กลายเป็น ผกก.หนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ระดับดีหนึ่งประเภทหนึ่งอีกครั้ง ส่วนลุง Washington ก็ได้หนังแฟรนไชส์มันส์ๆ มาไว้ในกระเป๋าอีกเรื่องเช่นเดียวกัน




ใครชอบหนังแอ็คชั่นแจ่มๆ เท่ๆ ที่ไม่ซัดกันจนเฝือ ก็จัดไปได้เลย 7/10

ปล.หนังประสบความสำเร็จด้วยดีแบบนี้ ภาคสองมีแน่







*ช่วงเพลงในหนัง*
Zack Hemsey
     สิ่งที่แจ่มอีกอย่างของหนัง The Equalizer คือเพลงประกอบที่คัดกันมาส่งเสริมความเท่ระทึกของหนังได้ดีมากๆ ยกตัวอย่างเช่นเพลงๆ นี้ของ Zack Hemsey คอมโพเซอร์หนุ่มชาวมะกันวัย 31 ขวบ ที่ถึงจะถูกเอาไปใช้มาหลายเรื่องแล้ว แต่เมื่อมาอยู่ในหนังเรื่องนี้ในฉากบู๊ช่วงไคลแมกซ์ก็ยังสามารถสร้างความระทึกแบบเท่ๆ ให้กับตัวหนังได้เป็นอย่างดี

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Fury (2014): วันถังเดือด



Fury (2014): วันถังเดือด

     บรรดาติ่งหนังสงครามโลกครั้งที่สองได้ตีปีกดี๊ด๊ากันอีกแล้ว ซึ่งคราวนี้จะได้เปลี่ยนบรรยากาศบู๊กันผ่านสายตาของทหารหน่วยยานเกราะที่ 66 ของกองทัพบกสหรัฐ

     ผกก.David Ayer ซึ่งถนัดทำหนังอาชญากรรมแรงๆ ของยุคปัจจุบัน ขอพาย้อนอดีตไปยังช่วงสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สองในปี ค.ศ.1945 เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรซึ่งนำโดยอเมริกาได้เริ่มรุกคืบเข้าไปในเขตแดนของเยอรมันนี ซึ่งกลายสภาพเป็นหมาจนตรอกที่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ แถมยังเกณท์เด็กและผู้หญิงมาช่วยรบอีกด้วยแหน่ะ

     หนังยังคงแรงตามสไตล์ของ ผกก.แก ที่มีฉากรบค่อนข้างดุเดือดเลือดพล่านและกดดันบีบคั้นอารมณ์ดีแท้ สงครามในสายตาของหนังเรื่องนี้คือนรกบนดินที่ทำให้บรรยากาศของหนังขมุกขมัวมาคุตลอดทั้งเรื่อง แถมดนตรีประกอบโดย Steven Price (Gravity) ยังโดดเด่นในการเสริมความสยดสยองของสงครามให้ตัวหนังได้เป็นอย่างดี

     หนังยาว 134 นาที แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอืดหรือเยิ่นเย้อแต่อย่างใด เรื่องราวอาจเปรียบดั่ง 300 เวอร์ชั่นรถถัง แต่ก็ในแบบที่มีคุณภาพ (และไม่ได้หมายถึงการเน้นภาพสโลว์เท่ๆ แต่อย่างใด อิอิ) คอหนังสงครามถูกใจกันแน่นอน

     สงครามเกิดขึ้นเพราะคนไม่กี่คน แต่กลับสร้างหายนะให้แก่ชีวิตอีกนับไม่ถ้วน และเชื่อเถิดว่าสงครามจะไม่มีวันหมดไปจากโลกนี้ ตราบใดที่เราใช้มันเป็นเครื่องมือแสวงหาสันติภาพ





ถูกใจติ่งหนังสงครามจริงๆ 8/10









 *รีวิวหนังของ ผกก.David Ayer เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*
 

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2557

John Wick (2014): ตูบข้าใครอย่าแตะ



John Wick (2014): ตูบข้าใครอย่าแตะ

     อันเฮีย Keanu Reeves (50 ขวบ) นั้นคือดาราขวัญใจของแฟนหนังเสมอมา แม้ว่าระยะหลังๆ แกจะไม่ได้มีผลงานโดนๆ ออกมา แต่แฟนๆ ก็เฝ้าลุ้นให้แกกลับมาดังอีกครั้งอย่างไม่ลดละ

     ซึ่งดูเหมือนเฮียแกก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร เพราะยังคงรับเล่นหนังเรื่อยๆ สบายๆ แบบที่อยากเล่น ไม่ได้หลับหูหลับตารับเล่นหนังมั่วซั่วเพื่อเงินเหมือนนักแสดงเคยดังคนอื่นๆ แต่อย่างใด

     สำหรับหนังแอ็คชั่นเรื่องนี้ก็เข้าข่ายช่วยเพื่อนพ้องอย่างที่เฮียทำมาตลอดเช่นเคย เพราะสอง ผกก.David Leitch และ Chad Stahelski คือสตั้นท์แมนเชี่ยวประสบการณ์ที่เคยร่วมงานกับเฮียมาตั้งแต่สมัยไตรภาค The Matrix โน่นแล้ว

     ด้วยความที่เป็นสตั้นท์แมนรุ่นเก๋าทำให้หนังมีคิวบู๊ที่เรียกว่าชนะเลิศเลยก็ว่าได้ ถ้าใครกะจะดูหนังแอ็คชั่นมันส์ๆ ล่ะก็หนังเรื่องนี้จัดเต็ม และสามารถเรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า มันส์ไม่มีเม้ม

     อันเฮียแกก็ชนะเลิศเช่นกันในการเล่นคิวบู๊ได้อย่างทะมัดทะแมงเท่สัสๆ รวมทั้งฉากดราม่าต้นเรื่องที่จะว่าไปแล้วก็ช่างคล้องกับชีวิตจริงของแกที่ต้องสูญเสียคนรักไป จนทำให้ฉากอารมณ์ของแกดูอินสุดๆ น่าสงสารดีแท้

     แต่หนังแอ็คชั่นที่ว่าด้วยการแก้แค้นแบบนี้ คงไม่มีมุมอื่นมาให้มากมายนัก ดังนั้นบางคนอาจจะหาว่าหนังไม่มีสาระอะไรนอกจากฉากฆ่าแกงกันก็เป็นได้ และบางคนอาจจะมึนๆ ว่าแค่หมาตัวเดียวเนี่ยนะถึงกับต้องตามไปแก้แค้นขนาดนี้ ซึ่งก็นะแต่ละคนเขาก็มีของรักของหวงที่มีค่าต่อจิตใจต่างกันไป เรื่องเล็กน้อยสำหรับเราอาจเป็นเรื่องใหญ่สำหรับอีกคนเสมอ

     หากมีคนกล่าวไว้ว่า "การแก้แค้น คืออาหารรสชาติเยี่ยม เมื่อมันเย็นแล้ว" หนังเรื่องนี้ก็เพิ่มเติมให้ว่า "การแก้แค้น คืออาหารรสชาติเยี่ยม เมื่อมันเย็นแล้ว โดยมีเฮีย Keanu เป็นคนเสิร์ฟให้นะ"

     เรื่องนี้คนอวยกันมาก ไม่ใช่เพราะมันดีฉิบหาย แต่มันคือหนังของเฮียที่คอหนังอยากจะเห็นและพร้อมจะให้ใจ ยังไงก็กลับมาดังได้แล้ว อย่างที่เฮียแจ้งความจำนงไว้ในหนังตอนหนึ่งว่า "People keep asking me if I'm back. Yeah, I'm thinking I'm back!" ฟัคเย้!










วันอาทิตย์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Dracula Untold (2014): หักดิบแวมไพร์ตัวพ่อ

Dracula Untold (2014): หักดิบแวมไพร์ตัวพ่อ

     ตำนานแดร็กคิวล่าถูกนำมาเล่าขานใหม่อีกครั้ง แถมครั้งนี้ Vlad เจ้าชายจอมเสียบ มาในสภาพวีรบุรุษบู๊สุดเท่ที่หล่อสัสกว่าครั้งใดๆ ที่ผ่านมา จนแทบอยากจะเรียกหนังเรื่องนี้เป็น Drac-man Begins ไปเลย ทีเดียว อิอิ

     Gary Shore ผกก.หนุ่มหน้าใหม่ชาวไอริช เปิดตัวผลงานหนังยาวเรื่องแรกนี้ก็อลังการงานสู้กันเลยทีเดียว หนังมาพร้อมฉากรบระดับน้องๆ (สุดท้อง) The Lord of the Rings เชียว

     แต่หนังก็ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือไปจากเท่าที่เห็นในเทรลเลอร์ คือพอดูได้เพลินๆ สนุกๆ แม้ว่าหนังค่อนข้างจะรวบรัดตัดตอนไปนิดจนอารมณ์ไม่สุดเนื่องจากเวลาของหนังมีเพียง 92 นาทีที่ดูน้อยไปเมื่อเทียบกับเรื่องราวบิ๊กเบิ้มระดับนี้

     ส่วนการที่ทำให้แดร็กคิวล่ากลายเป็นวีรบุรุษผู้เสียสละที่สู้เพื่อครอบครัวและประชาชน ก็ทำให้หนังขาดมุมน่ากลัวสยองขวัญอันคลาสสิกของตัวละครนี้ไป แต่เรื่องราวแนวโศกนาฏกรรมในหนังก็ยังช่วยกู้สถานการณ์ไว้ได้อยู่

     เรียกว่าหนังพลิกประวัติศาสตร์เปลี่ยนเรื่องราวของ Vlad จากตัวจริงที่ได้ชื่อว่าเป็นคนโหดเหี้ยมจน ม.ม้าวิ่งหนีหายไปหมด ให้กลับใจกลายเป็นพระเอกตัวจริง ซึ่งก็นะ นี่คือหนังเพื่อความบันเทิง เป็นศิลปะแห่งการบิดเบือนและสร้างเรื่อง อย่าซีเรียสกับข้อมูลทางประวัติศาสตร์จนฉี่เหนียวเลย

     นี่เห็นทางผู้สร้างจะใช้กลยุทธ์เดียวกับหนังของ Marvel โดยวางแผนให้ตัวละครแดร็กคิวล่าจากเรื่องนี้ให้ไปโผล่ในหนังตัวประหลาดอื่นๆ อย่าง The Mummy ฉบับรีเมคที่กำลังจะออกตามมาในอนาคต ก็นับว่าน่าสนใจดี เพียงแต่ว่าจะเวิร์คเหมือนฝั่งมาร์เวลหรือเปล่านั้นก็ต้องติดตามกันต่อไปเน้อ




ดูกันเพลินๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็บันเทิงดีนะ





Gone Girl (2014): เล่นซ่อนแสบ



Gone Girl (2014): เล่นซ่อนแสบ

     ห่างหายไปจากหนังโรงซะหลายปี ในที่สุด ผกก.เดวิด ฟินเว่อร์ เอ๊ย ฟินเชอร์ ก็กลับมาพบบรรดาแฟนานุแฟนคนรักหนังอีกครั้งกับหนังระดับคุณภาพคับไห ที่ก็น่าจะติดโผหนังยอดเยี่ยมประจำปีของสำนักสงฆ์ต่างๆ ไม่ใช่สิ ต้องสื่อบันเทิงสำนักต่างๆ ไม่มากก็น้อยล่ะ (โปรดอดทนกับมุกถึกๆของเรา อิอิ)

     หนังมาจากนิยายฮิตชื่อเดียวกันของ Gillian Flynn ซึ่งชีก็ยังตามมาเขียนบทให้กับหนังด้วย เพื่อตัดปัญหาหนังดัดแปลงไม่โดนใจแฟนนิยาย ซึ่งจะแตกต่างกันตรงจุดไหนนั้น ก็คงไม่มีใครกล้าบ่นดังเพราะเจ้าของบทประพันธ์เขามาเองเลย

     หนังเริ่มต้นกับแนวชวนสงสัยว่าใครเป็นคนทำ ซึ่งเทรลเลอร์ก็ชวนให้คิดแบบนั้นเต็มตีน แต่ช้าก่อนหนังเรื่องนี้มีอะไรพิศดารชวนอึ้งทึ่งเหวอกว่านั้นเยอะ ด้วยการเล่าเรื่องที่เปี่ยมชั้นเชิงของตัว ผกก.ฟินเชอร์ ที่ค่อยๆ ทำให้หนังที่เหมือนจะเอื่อยๆ เดิมๆ ในช่วงแรก ค่อยๆ ทวีความอึ้งขึ้นมาเรื่อยๆ จนบรรลุความเหวอในช่วงไคลแม็กซ์ ซึ่งนี่คือความดีงามอย่างแรกของหนังเรื่องนี้

     และที่ดีงามเป็นคำรบสองคือการแสดงของตัวละครหลัก โดยเฉพาะในรายของเจ๊ Rosamund Pike ที่เล่นได้ดีเลิศควรค่าแก่การเข้าชิงและซิวออสก้าร์จริงๆ เรียกว่าเจ๊แจ้งเกิดในฐานะนักแสดงคุณภาพจากเรื่องนี้เต็มๆ เลย ส่วนเฮีย Ben Affleck ก็เล่นดีเช่นกัน ซึ่งฉากโชว์ช้าง(ไม่)น้อยของแกคงทำให้คนดูหลายคนตาลุกเป็นแน่แท้ อิอิ

    ดูแล้วหนังก็ตอบคำถามที่ว่า"ความรักมันหมดอายุได้ด้วยเหรอ?" ได้อย่างเด็ดขาด และข้อเท็จจริงที่ว่าเราจะเชื่อทุกอย่างที่เห็นบนจอทีวีหรือหนังสือพิมพ์ไม่ได้หรอก เราเพียงแต่จะได้รับรู้แต่บางส่วนของความจริงเท่านั้นแหล่ะ (หรืออาจจะไม่จริงเลยก็ได้)

     หนังดีสมคำร่ำลือ ช่วงเวลาสองชั่วโมงครึ่งของหนังเป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่าตั๋วที่จ่ายไป ไม่ดูได้ไงล่ะเนอะ 










วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2557

The Babadook (2014): ผีจิตหลุด


https://www.facebook.com/pages/Nanatakaras-Blog/179434468736922
The Babadook (2014): ผีจิตหลุด

     
นานๆ ทีจะมีหนังผีจากออสเตรเลียหลุดมาให้ยลสักที ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ธรรมดาทีเดียวเพราะไม่ได้มากับสูตรสำเร็จประเภทครอบครัวแสนสุขที่ดันเจอผีมาป่วนจนไปไม่เป็น แต่มาในสภาพครอบครัวที่แสนเปราะบางมีปัญหารอวันระเบิดอยู่แล้ว ที่ดันมาเจอผีกระหน่ำซ้ำเติมกระทืบซ้ำเข้าไปอีกซะงั้น ซึ่งก็ดูแปลกแตกต่างดีทีเดียว

     
ต้องบอกก่อนว่าหนังเรื่องนี้เขาไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตากระหน่ำฉากผี (อันที่จริงน่าจะปีศาจมากกว่า) หลอกตุ้งแช่สุดพิศดารมาให้ต้องตกสะดุ้ง เพราะเราแทบจะไม่ได้เห็นมันนอกจากในเงามืดที่มาพร้อมเสียงพูดตลกๆ มากกว่าน่ากลัว

     
แต่หนังเน้นไปที่ความสยองอึมครึม น่าหวาดหวั่นของสภาพจิตใจของตัวละครหลักมากกว่า ซึ่งตัวเอกทั้งสองก็ทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว จนเราว่าไปๆ มาๆ กลายเป็นว่าคนน่ากลัวกว่าผีเสียอีกไปซะงั้น

     
ถ้าจะเทียบกับหนังผีที่เพิ่งฉายไปก่อนหน้าไม่นานอย่าง Annabelle แล้ว เรื่องนั้นยังจะโฉ่งฉ่างกว่าด้วยซ้ำ แต่ถ้าวัดกันทุกอณูแล้ว หนังเรื่องนี้ก็ชนะไปในที่สุดด้วยความการแสดงและเรื่องราวที่มีคลาสกว่าเยอะ



https://www.facebook.com/pages/Nanatakaras-Blog/179434468736922
ไม่ถึงขนาดดูน่ากลัวจนขนแขนสแตนด์อัพ แต่ก็มีดีในตัวเอง







*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=nanatakara&month=06-10-2014&group=19&gblog=245

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2557

Annabelle (2014): ยัยตุ๊กตาผีหลอน

https://www.facebook.com/pages/Nanatakaras-Blog/179434468736922
Annabelle (2014): ยัยตุ๊กตาผีหลอน

     
ยัยตุ๊กตาผี Annabelle จากหนัง The Conjuring (2013) ดังแล้วแยกวง ได้ฉายเดี่ยวมาหลอกชาวบ้านเต็มๆ ไม่ต้องแบ่งเค้กความสยองให้ผีตัวอื่นในหนังเรื่องนี้ ซึ่งทาง ผกก.James Wan ก็ได้ส่ง John R. Leonetti ผกก.ภาพคู่ใจให้มาทำหน้าที่กำกับในคราวนี้

     
หากนึกว่ายัยแอนนาเบลล์จะมีลีลาการหลอกเหมือนเจ้าชัคกี้แค้นฝังหุ่นล่ะก็คงจะผิดหวัง เพราะชีมาแบบนิ่งๆ ไม่ไหวติง และเน้นสไตล์การหลอกแบบหลอนๆ ปั่นประสาทไม่ตุ๊งแช่อึกทึกครึกโครมให้ต้องวิ่งหนีลงโอ่งแต่ประการใด

     
แต่ด้วยความที่เน้นเน้นหลอนแบบนิ่งๆ ก็อาจจะทำให้หลายคนรู้สึกว่าหนังไม่ค่อยน่ากลัวก็เป็นได้ ซึ่งก็แล้วแต่รสนิยมนะเพราะสำหรับเราแล้ว นิ่งๆ หลอนๆ แบบนี้ก็ดีกว่าไอ้เจ้าชัคกี้แยะล่ะนะ

     
รวมๆ แล้วหนังอาจจะหย่อนฉากน่ากลัวไปบ้าง แต่ก็ยังมีพอมีบางฉากบางตอนที่หลอนใช้ได้เลย น่าเสียดายที่บางตัวละครแค่มีไว้เพื่อรองรับตอนจบเท่านั้นเอง ซึ่งถือว่าทำให้หนังจบไม่สวยพอสมควรเลยทีเดียว

     
อ่านพบมาว่าสิ่งที่เห็นในหนังล้วนเป็นเรื่องแต่งไม่ได้อิงมาจากเหตุการณ์จริงทั้งสิ้น ซึ่งทางผู้สร้างคงคิดว่าน่าจะหาทางอธิบายที่มาที่ไปของตุ๊กตาแอนนาเบลล์ซะหน่อย แต่เราว่ามันไม่ได้ออกมาส่งผลดีสักเท่าไหร่ บางทีหากปล่อยให้ที่มาที่ไปของตุ๊กตาตัวนี้ดูคลุมเครือลึกลับต่อไปก็อาจจะทำให้เป็นอะไรที่หลอนมีระดับกว่านี้ก็เป็นได้นะ



https://www.facebook.com/pages/Nanatakaras-Blog/179434468736922







*อันเนื่องมาจากหนัง*
https://www.facebook.com/pages/Nanatakaras-Blog/179434468736922
เปรียบเทียบตุ๊กตาแอนนาเบลล์ตัวจริง(ซ้าย)กับในหนัง
     หนังก็คือหนัง ต่อให้ขึ้นชื่อว่าสร้างจากเรื่องจริงแค่ไหนก็คงเหมือนจริงไม่ได้ทั้งหมด รวมถึงกรณีของหนังตุ๊กตาผีแอนนาเบลล์นี้ด้วย ซึ่งนอกจากหน้าตาจะต่างจากตัวจริงราวหน้ามือกับหลังเท้าแล้ว (ตัวจริงเป็นตุ๊กตาผ้าสุดแบ๊ว) เรื่องราวยังต่างกันสุดๆ เพราะในหนังน่ะแต่งขึ้นมาล้วนๆ 

     อาจเป็นเพราะเรื่องจริงของตุ๊กตาแอนนาเบลล์ยังแสดงความเฮี้ยนไม่สะใจพอละมั้ง ไม่ว่าจะการขยับเปลี่ยนที่เอง เขียนโน้ตสั้นๆ เอง อำคนบางคนขณะกึ่งหลับกึ่งตื่นโดยปีนขึ้นไปบีบคอจนหมดสติ รวมทั้งทำร้ายร่างกายบ้างอีกนิดหน่อย

     ที่ยังคงเป็นปริศนาคือที่มาของตุ๊กตา ซึ่งบ้างก็บอกว่าตุ๊กตาถูกสิงโดยวิญญาณเด็กอายุ 6 ขวบที่ตายเพราะอุบัติเหตุ บ้างก็ว่าเป็นวิญญาณเด็ก 7 ขวบที่ตายแถวๆ นั้น ในขณะที่ในหนังบอกว่าเป็นปีศาจที่สิงตุ๊กตาอยู่

     แต่ไม่ว่าเรื่องราวที่แท้จริงจะเป็นยังไง ที่แน่ๆ คือตุ๊กตาตัวนี้มีพลังงานชั่วร้ายบางอย่างซ่อนอยู่ และยังคงเฝ้ารอวันจะสำแดงฤทธิ์เดชแก่ผู้คนที่หลงเข้าไปข้องเกี่ยวกับมันอยู่นั่นเอง


*รีวิวหนัง The Conjuring*
https://www.facebook.com/179434468736922/photos/a.494858037194562.121276.179434468736922/694618043885226/?type=3&theater

วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2557

A Walk Among the Tombstones (2014): ตามล่าไอ้คู่โหด

https://www.facebook.com/pages/Nanatakaras-Blog/179434468736922
A Walk Among the Tombstones (2014): ล่าไอ้คู่โหด

     
ป๋า Liam Neeson กลับมาเท่อีกครั้งโดยคราวนี้มากับหนังที่ดัดแปลงมาจากหนึ่งในนิยายอาชญากรรมชุดสุดฮิตของ Lawrence Block อันว่าด้วยเรื่องราวของนักสืบเอกชน Matthew Scudder ที่ทั้งชุดมีออกมาแล้วกว่า 17 เล่มด้วยกัน

     
มาเวอร์ชั่นหนังก็ได้ ผกก.Scott Frank ที่เคยมีผลงานแจ้งเกิดอย่าง The Lookout (2007) เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งด้วยความที่ ผกก.แกเป็นนักเขียนบทมือคุณภาพอีกคนแห่งวงการ จึงขอเหมาหน้าที่เขียนบทให้หนังด้วยซะเลย

     
โดยแกก็ควบสองตำแหน่งได้เป็นอย่างดี คุมหนังให้ออกมาได้เข้มข้นน่าติดตามตลอดความยาว 114 นาที แม้ว่าหนังจะออกแนวสืบๆ ไม่อึกทึกครึกโครม และถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้วเรื่องราวของหนังก็มาในแนวทางเดิมๆ ที่คอหนังเห็นกันมาจนชินแล้วก็ตาม

     
ที่น่าเสียดายคือตัวเทรลเลอร์หนังที่ดันเผยให้เห็นบางจุดที่สำคัญของหนังไปซะหมด จนเมื่อถึงเวลาดูจริงๆ จุดสำคัญเหล่านั้นเลยไม่สามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์อย่างที่ควรจะเป็น

     
ยังไงก็ตามนี่เป็นหนังล่าฆาตกรโหดที่น่าพอใจ และเพิ่มเครดิตหนังดีๆ ของป๋าแกและตัว ผกก.ได้อีกเรื่อง หวังว่าเราคงจะได้เห็นป๋ามาในบทบาทนี้อีกหลายๆ ครั้งเน้อ









*ช่วงเพลงในหนัง*
สาว Nouela
Black Hole Sun เพลงคลาสสิคของ Soundgarden ถูกนำมาคัฟเวอร์ไว้อย่างไพเราะโดย Nouela หรือ Nouela Johnston ศิลปินสาวลูกครึ่งเกาหลีนอร์เวย์ ที่ปักหลักหากินอยู่ในซีแอตเทิล อเมริกา ดินแดนกรั๊นจ์ ซึ่งตัวหนังก็เอาเพลงนี้ไปใช้ได้อย่างเข้าขาทั้งในเทรลเลอร์และในช่วงเอนด์เครดิตของหนัง แจ่มไปโลด



วันอาทิตย์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2557

The Maze Runner (2014): วัยวิ่งวุ่น

https://www.facebook.com/pages/Nanatakaras-Blog/179434468736922
The Maze Runner (2014): วัยวิ่งวุ่น

     หนังจากวรรณกรรมเยาวชนสุดฮิตอีกเรื่อง ซึ่งผู้สร้างกะจะหากินกันยาวๆ เป็นไตรภาคตามฉบับหนังสือ แต่ก็ต้องรอดูผลตอบรับก่อนว่าหนังชุดนี้จะอยู่หรือจะไป

     Wes Ball มือกราฟฟิก/วิช่วลเอฟเฟกต์เชี่ยวประสบการณ์มารับหน้าที่กำกับหนังยาวเป็นเรื่องแรกของเขา ซึ่งก็ถือว่าสอบผ่านเลยล่ะ เพราะสามารถคุมให้หนังออกมาดูสนุก ดูลุ้น จริงจัง ไม่มีช่วงเวลาหน่อมแน้มฉันรักเธอมาให้รำคาญ ตลอดระยะเวลาสองชั่วโมงของหนัง

     ไอ้เราซึ่งไม่เคยอ่านหนังสือต้นฉบับ (ตามฟอร์ม) ก็ไม่รู้ว่าออกมาต่างกันยังไง แต่ดูเหมือนหนังจะข้อมูลอะไรมากมายเพียบที่ไม่ได้อธิบายไว้ให้งงแบบผ่านๆ รวมถึงตอนจบที่ทิ้งท้ายแบบรีบๆ ชอบกล

     ส่วนในด้านความตึงเครียดระหว่างวัยรุ่นในเรื่อง ถ้าขับเน้นกว่านี้ได้ก็คงจะมีช่วงไคลแม็กซ์ที่ออกมาหนักแน่นกว่านี้นะ แต่เอาน่าออกมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าแจ่มแล้ว

     มนุษย์เราคือสิ่งมีชีวิตอันน่าอัศจรรย์ พวกเราผ่านช่วงเวลาแห่งความเลวร้ายมามากมาย แต่ก็ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ ไม่ใช่เพราะด้วยแค่ความเก่งกล้าหรือสติปัญญาอันชาญฉลาดเท่านั้น แต่ที่สำคัญที่สุดกว่านั้นคือมนุษย์เรามี "ความหวัง" หวังจะพบวันที่ดีกว่านั่นเอง คนเราอาจจะมีวันท้อแท้ท้อถอยกันได้ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ขออย่าเพิ่งหมดหวังนะครับพี่น้อง อดทนด้วยความหวังไว้ แล้ววันมามากจะผ่านพ้นไปในที่สุดเน้อ สู้ๆ!


ปล.ตอนนี้ภาคสองกำลังเตรียมงานสร้างกันแล้วเน้อ
  

https://www.facebook.com/pages/Nanatakaras-Blog/179434468736922

7/10 ครับ


วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2557

Deliver Us from Evil (2014): ตำรวจสู้ผี



Deliver Us from Evil (2014): ตำรวจสู้ผี

     ขึ้นชื่อว่าภูติผีปีศาจ ใครๆ ก็กลัวแม้จะยังไม่ต้องเจอหน้าค่าตากันก็ขอกลัวรอไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นหนังผีจึงมีมาให้ดูกันชนิดไม่ขาดสาย แถมยังทำเงินกันกระหน่ำ เพราะถึงคนเราจะกลัวผีแต่ความอยากรู้อยากเห็นมันแรงกว่าความกลัวอีกน่ะสิ อิอิ

     และผลงานล่าสุดของ ผกก.Scott Derrickson ผู้ช่ำชองเชี่ยวชาญด้านหนังผีนักแล เรื่องนี้นั้นไม่ธรรมดา เพราะจั่วหัวไว้หราว่าสร้างโดยได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับ Ralph Sarchie สมัยยังเป็นตำรวจนิวยอร์คเมื่อหลายปีก่อนนี้

     ครั่บ ดังนั้นหนังจึงเป็นการหยิบโน่นนิดมาผสมนี่หน่อยจากเรื่องจริงพร้อมกับเปลี่ยนแปลงอะไรหลายอย่างให้ดูเหมาะกับความเป็นหนังมากขึ้น ซึ่งผลก็ออกมาดูดีทีเดียวเพราะหนังมีช่วงเวลาสยองๆ แบบผีไม่ต้องออกเยอะ แต่อาศัยการหลอนเสมอต้นเสมอปลายเข้าว่า ดูไม่น่าเบื่อแม้หนังจะยาวกว่าสองชั่วโมงก็ตาม (บวกโฆษณาก่อนหนังฉายด้วยก็สองชั่วโมงครึ่ง)

     งานด้านเมคอัพเอฟเฟกต์ก็อยู่ในระดับดีหนึ่งประเภทหนึ่ง ทำแผลเหวอะหวะได้สมจริงชวนสยองดีนัก ส่วนทีเด็ดคงอยู่ในฉากขับผีช่วงท้ายที่ถือว่านี่เป็นหนึ่งในหนังแนวขับผีที่เด็ดขาดที่สุดเรื่องหนึ่งชนิดไม่เป็นรองใครเลยทีเดียว

     และก็เหมือนเดิมว่าจริงๆ แล้วหนังคือการชี้ชัดให้เราเห็นว่าในเมื่อมีภูติผีปีศาจก็ต้องมีพระเจ้าด้วยน่ะสิ ดังนั้นคนที่จะอินกว่าใครเขาในการดูหนังเรื่องนี้คือเหล่าคริสตชนหรือผู้ที่สนใจ ส่วนขาจรทั้งหลายคงจะประมาณว่า อ่อ หนังน่ากลัวดีนะ แต่ผีไทยเราต้องเจอข้าวสารเสกและเรียกลงหม้อเท่านั้น ถึงจะเหมาะสม อิอิ




หนังผีเด็ดๆ อีกเรื่องของปีนี้ให้ไปโลด 6/10



Ralph Sarchie ตัวจริง (ซ้าย) กับในหนัง








รีวิวหนังของ ผกก.Scott Derrickson เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Lucy (2014): อึ๋มพลังเทพ


Lucy (2014): อึ๋มพลังเทพ

     นานน๊านเสี่ย Luc Besson แกจะกำกับหนังออกมาสักเรื่อง เพราะมัวแต่คอยทำหน้าที่เป็นป๋าดันให้ลูกน้องได้ทำหนังซะส่วนใหญ่ แล้วจู่ๆ ก็มีหนังเรื่องนี้ออกมา ซึ่งก็ทำเงินระเบิดระเบ้อซะด้วยสิ แบบนี้ไม่ดูไม่ได้แล้ว

     หน้าหนังประกาศตัวว่าเป็นหนังแอ็คชั่นพลังเหนือมนุษย์เท่ๆ ซึ่งก็จริงเพราะบางอารมณ์แล้วนี่มันหนังยอดมนุษย์ดีๆ นี่เอง แต่ระดับเสี่ยแกแล้ว มันมีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งก็คือความเป็นไซไฟแฝงปรัชญาที่พูดชวนคนดูมึนอย่างกับมาจากหนังไตรภาค The Matrix ปน The Tree of Life (2011) (ป๊าด)

     ดูๆ ไปแล้วหนังก็โม้ใหญ่ได้ไฮคอนเซ็ปท์ดีแท้ เสียแต่ว่าไอ้บรรดาฉากเด็ดๆ เท่ๆ ดันมาโผล่ในเทรลเลอร์หนังเกือบหมดแล้ว และยังมีบทที่ชวนคาใจอยู่หลายจุด (อาทิ ช่วงแรกนางเอกไว้ชีวิตตัวโกงใหญ่เพื่ออะไร ทั้งๆ ที่ฆ่าคนอื่นหมดได้อย่างไม่ลังเล? หรือการที่พวกมาเฟียเกาหลีกล้าบุกไปชิงตัวผู้ต้องหาถึงฝรั่งเศสอย่างเอิกเกริกในสถานที่ๆมีตำรวจคุ้มกันอย่างแน่นหนา ฯลฯ)

     นี่จึงไม่ใช่หนังที่ดูเอามันส์จบแล้วก็จบกันไป แต่ทิ้งอะไรให้เราต้องขบคิดและเอาไปถกกันได้อย่างเถิดเทิง อย่างรอบที่เราดู พอหนังจบคนดูต่างลุกขึ้นออกจากโรงอย่างเงียบๆ มึนๆ ซึ่งคงอยู่ในอารมณ์ประมาณว่า "หนังอะไรของมันวะเนี่ย?!" ไม่ใช่ว่าหนังไม่ดีหรือดูยากเกินความเข้าใจนะ แต่มันเกินคาดไปจากหน้าหนังแยะเลยต่างหาก อ่า...เสี่ย Besson เล่นกูแล้วไง อิอิ

     ปล.เสี่ยแกออกมายอมรับว่าที่จริงหนังได้รับอิทธิพลแรงๆ จากหนังในตำนานสามเรื่องอันประกอบด้วย Léon (1994), Inception (2010) และ 2001: A Space Odyssey (1968) นะจะบอกให้



ไม่เสียฟอร์มเสี่ยครับ เรื่องนี้ 6/10



วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Teenage Mutant Ninja Turtles (2014): สี่เต่าสะท้านนิวยอร์ค


Teenage Mutant Ninja Turtles (2014): สี่เต่าสะท้านนิวยอร์ค

     การพยายามรีบู๊ตหนังการ์ตูนนินจาเต่าครั้งนี้มาในยุคที่เทคโนโลยีการสร้างภาพยนตร์เจริญก้าวหน้ามากพอที่จะเนรมิตให้คนสามารถประชันบทบาทกับตัวละครซีจีได้แบบเนียนๆ

     ลืมไปได้เลยกับเต่านินจาในชุดยางเห่ยๆ ของหนังทั้งสามภาคที่ออกฉายช่วงต้นยุค 90 (ถึงตอนนั้นเราจะดูออกว่านั่นมันคนในชุดยางแต่ก็ยังดูหนังได้เพลินๆ ด้วยความที่ยังเป็นเด็ก อิอิ)

     พอรู้ว่าเสี่ย Michael Bay แกอำนวยการสร้างก็หวั่นอยู่นิดๆ ว่าจะออกมา "เยอะ" ลากยาวจนเฝือแบบ Transformers หรือเปล่า แต่ปรากฏว่าไม่เลย แถมหนังยังเดินจ้ำอ้าวรีบมารีบไปไม่ยอมเสียเวลาอ้อยอิ่งด้วยซ้ำไป ซึ่งก็ดีนะ เพราะนี่มันหนังประเภทที่ไม่ต้องการการปูพื้น การเสนอแง่จิตวิทยาของตัวละคร หรือเหตุผลตรรกะใดๆ อยู่แล้วล่ะ

     หนังค่อนข้างเป็นมิตรกับเด็กๆ ดังนั้นอะไรๆ จึงอยู่ในระดับที่เบาๆ ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ผู้ใหญ่คิดเยอะดูแล้วอาจมีมึน แต่ก็ยังมีช่วงเวลาแห่งความบันเทิงมอบให้อยู่บ้างนะ (ซึ่งก็ไม่มาก)



จะเอาอะไรมากกับหนังที่มีบรรดาเต่าสูงหกฟุตเดินสองขาที่พูดได้ปร๋อแถมเป็นนินจามาคอยปกป้องเมืองนิวยอร์คอีก ให้ 5/10 ครับ





วันศุกร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2557

The Expendables 3 (2014): รวมพลคนพันธุ์เหี่ยว



The Expendables 3 (2014): รวมพลคนพันธุ์เหี่ยว

     และแล้วก็เดินทางมาถึงภาคที่สามจนได้ สำหรับหนังรวมดาวนักบู๊จากยุค 80-90 ซึ่งนำขบวนโดยเสี่ย Sylvester Stallone ที่ถึงแกจะแก่จนหนังตาตก ในวัย 68 ขวบแล้ว แต่ก็ยังฟิตพอจะไล่เตะตูดคนรุ่นลูกรุ่นหลานได้แบบสบายๆ

     แถมคราวนี้เสี่ยแกจัดเต็ม ระดมพลคนพันธุ์เหี่ยวมาพะบู๊กันแบบเหี่ยวๆ ยิ่งกว่าครั้งใดๆ ที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์หนังแอ็คชั่นระเบิดภูเขาเผาเพิงหมาแหงน จนสามารถนับอายุอานามของพวกพระเอก (กับโจรอีกหนึ่ง) ทั้งเหี่ยวมากเหี่ยวน้อยสิริรวมได้ถึง 739 ปีเลยทีเดียว (ป๊าด!)

     แต่คงต้องแสดงความเสียใจสำหรับแฟนๆ ที่เคยชื่นชมความมันส์ของสองภาคแรกไว้ ณ ที่นี้ด้วย เพราะภาคนี้เสี่ยดันเกิดอยากให้วัยรุ่นและคนในวงกว้่างสามารถมาดูหนังแฟรนไชส์ชุดนี้มากขึ้น ก็เลยขอลดความรุนแรงจากเรทอาร์ในสองภาคแรกให้เหลือเพียงเรทพีจี-13 ในภาคนี้

     ดังนั้นฉากบู๊ในภาคนี้จึงออกมาดูจืดสนิท ครั้นมาเจอความยาวของหนังที่ลากยาวถึง 126 นาทีซึ่งก็เต็มไปด้วยฉากพูดคุยชวนเบื่อเข้าไปอีก งานนี้คงต้องมีคนหลับหงายเงิบคาโรงหนังกันบ้างล่ะ

     จากหนังบู๊บ้าพลังๆ แมนๆ กวนตีนๆ ที่ดูมันส์ๆ ไม่ต้องคิดอะไรมากก็เลยกลายสภาพเป็นหนังเหล่าผู้สูงอายุพยายามดิ้นรนเฮือกสุดท้ายก่อนที่จะถูกลืมเลือนกับกาลเวลาซะงั้น

     ส่วนการพยายามเอาใจกลุ่มคนดูวัยรุ่นโดยให้คนพันธุ์บู๊รุ่นใหม่เข้ามาในทีมจนรกนั้นก็น่าจะเป็นตัวทำลายเสน่ห์ของหนังชุดนี้ซะมากกว่า เพราะหมดเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงกับบรรดาฉากออกไปเกณฑ์ลูกทีมทั้งหลาย จนแทบจะละเลยบรรดานักบู๊รุ่นเก่าซึ่งเป็นจุดขายตัวจริงของหนังชุดนี้ไปเสียดื้อๆ

     ขนาดทีมพากย์พันธมิตรที่สามารถทำให้หนังซีเรียสกลายเป็นหนังตลกได้นั้น(อิอิ) ก็ยังไม่ค่อยสามารถทำให้หนังดูสนุกขึ้นมาได้สักเท่าไหร่เลย

     นี่เห็นจะมีภาคสี่ออกมาอีกโดยมี Pierce Brosnan อดีตเจมส์ บอนด์ และ Hulk Hogan อดีตนักมวยปล้ำชื่อก้องมาร่วมแจม ยังไงก็หวังว่าจะออกมามันส์กว่าภาคนี้เน้อเสี่ย




การมาครั้งนี้ของพวกลุงๆ ค่อนข้างน่าเบื่อนะเราว่า 4/10 ครับ






*รีวิวสองภาคแรกภายในบล็อก*
 


Into the Storm (2014): มหันตภัยหมุนติ้วๆ

Into the Storm (2014): มหันตภัยหมุนติ้วๆ

     หนังพายุทอร์นาโดถล่มเรื่องนี้คือญาติสนิทกับ Twister (1996) ซึ่งเคยโด่งดังในยุคหนังซีจีเริ่มเบ่งบาน แต่ว่าในทุกวันนี้คนดูเขาเห็นอะไรแบบนี้จนชาชินเสียแล้วน่ะสิ ดังนั้นหนังเลยอาจจะไม่ค่อยสร้างความฮือฮาได้เท่าสมัยโน้นแล้วก็ได้นะ

     ผกก.Steven Quale ศิษย์ก้นกุฏิของเสี่ย James Cameron รู้ดีถึงข้อนี้เขาเลยพยายามมองหาไอเดียอื่นมาทดแทนไม่ว่าจะการทำเป็นหนังกึ่งๆ เรื่องจริงผ่านจอ และหาทางให้ตัวละครหลักๆ มีอันต้องไปหนีตายจากโคตรพายุทอร์นาโดได้อย่างพอเหมาะพอควรพอฟังขึ้นได้อยู่ แม้ว่าอีกหลายๆ คนจะเข้าข่าย 'รนหาที่' ในแบบที่ Twister โดนหมั่นไส้มาแล้วก็ตาม

     ถึงหนังจะเดิมๆ ไม่มีอะไรฉีกความคาดหมายแถมหลายฉากที่ยังชวนให้ "อ่ะนะ" และฉากดราม่าทั้งหลายก็ยังกล่อมคนดูให้เคลิ้มตามไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก แต่พอถึงฉากพายุถล่มราบก็ยังทำให้คนดูลุ้นระทึกได้อยู่ การที่หนังไม่พยายามแถลากยาวก็เลยพอจะมอบความบันเทิงอย่างพอดีคำให้ได้อยู่บ้าง

     อย่างน้อยหนังก็สามารถย้ำเตือนให้ตระหนักอีกครั้งว่าการที่สภาพอากาศโลกผันผวนมากขึ้นทุกขณะจิตเช่นนี้ ก็เพราะด้วยน้ำมือของมนุษย์เราเอง ครั้นพอโดนธรรมชาติถล่มซะเละก็ยังไม่สลดสักนิด แต่ยังดื้อด้านพยายามคิดหาทางเอาชนะธรรมชาติให้จงได้ แหม่ มนุษย์เนี่ยมันมนุษย์จริงๆ เนอะ อิอิ



หนังดูได้เรื่อยๆ ไม่มากแต่เกือบน้อย 6/10 ครับ






*รีวิวหนังของ ผกก.Steven Quale เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Guardians of the Galaxy (2014): เกรียนกรุ๊ปพิทักษ์กาแล็กซี่

Guardians of the Galaxy (2014): เกรียนกรุ๊ปพิทักษ์กาแล็กซี่

     ผลงานล่าสุดจาก Marvel Studios เรื่องนี้มาแปลกกว่าเพื่อนตรงที่นำเอาการ์ตูนที่น้อยคนนักที่จะรู้จักถ้าเทียบกับหนังฮีโร่ที่ผ่านๆ มาของมาร์เวลมาเป็นผลงานนำร่องหนังฮีโร่ช่วงที่สองของพวกเขา

     ซึ่งจะว่าไปก็นับว่าเป็นความกล้าเสี่ยงเหมือนคราวที่ Iron Man ภาคแรกออกฉายเมื่อปี ค.ศ.2008 ก็ว่าได้ แต่ถ้ามองอีกมุมว่าเป็นอะไรที่แปลกใหม่ ไม่ใช่ภาคต่อของฮีโร่รายเดิมๆ ก็นับว่าน่าสนใจมิใช่น้อย

     และแน่นอนที่ตัวหนังโดยฝีมือของ ผกก.James Gunn เองก็ออกมามีเสน่ห์และดูสนุกไม่เป็นรองใครเลยทีเดียว แถมยังขยายจักรวาลของหนังฮีโร่มาร์เวลที่แสนกว้างใหญ่ไพศาลให้แก่คนดูรับแซ่บได้แบบเนียนๆ อีกต่างหาก

     หนังมาพร้อมอารมณ์ขันที่ผ่อนคลายไม่ซีเรียสอะไรตามสไตล์หนังฮีโร่มาร์เวล แต่ก็ไม่ถึงกับตลกคาเฟ่ ดูเพลินๆ ดีแท้ ไม่น่าเบื่อแม้หนังจะจัดเต็มสองชั่วโมงเลยก็ตามที

     อีกอย่างที่ทำให้หนังดูสนุกขึ้นเพราะมีรายละเอียดยิบย่อยให้แฟนๆ ได้สังเกตสังกา ไม่ว่าจะแฟนพันธุ์แท้มาร์เวล หรือแม้แต่แฟนพันธุ์ทางก็ตามที่น่าจะดูกันสนุกได้มากกว่าหนึ่งรอบ

     หากการรวมตัวของทีม The Avengers มีแต่ฮีโร่เด็ดๆ ทั้งนั้น การรวมตัวของฮีโร่ทีมนี้มีแต่ตัวเกรียนๆ ขี้แพ้ก็ว่าได้ ซึ่งคนที่โดดเด่นที่สุดคงไม่พ้นหนุ่ม Chris Pratt ที่คงจะได้ใจคนดูไปเต็มๆ และคงจะโด่งดังจากหนังเรื่องนี้นะ (Groot ของ Vin Diesel ก็น่ารักใช่ย่อย)

     ที่น่าชื่นชมอีกอย่างคือ ผกก.Gunn ที่โตมากับสายหนังคัลต์ของ Troma แอบหนีบ ผกก.Lloyd Kaufman ผู้ก่อตั้ง Troma Film ให้มาโผล่แว๊บๆ สไตล์เดียวกับปู่ Stan Lee อีกด้วย (ใครสังเกตเห็นแกบ้างมั้ย อิอิ?)



สนุกดูเพลินไม่เสียฟอร์มหนังนำร่องช่วงที่สองของมาร์เวลเลยครับ 8/10 


     ปล.การที่มี Howard the Duck (เวอร์ชั่นที่ผอมลง)โผล่มาให้เห็นแว๊บๆ นั้น นับว่ามาแปลกตรงที่นำเอาตัวละครของ Lucas Film (ที่เป็นของดิสนี่ย์เช่นกัน) มาแจมในหนังมาร์เวลแบบนี้ หรือว่าทางดิสนี่ย์คิดจะรีบู้ท Howard the Duck ใหม่หนอ อืมมม?






*ช่วงเพลงในหนัง*
วง 10cc
ถึงจะเป็นหนังฮีโร่สุดไซไฟแต่ตัวหนังกลับใช้แต่เพลงป็อปร็อคสุดคลาสสิคจากยุค 60-80 ซึ่งเชื่อว่าหลายเพลงนั้นต้องเคยผ่านหูคอเพลงมาแล้วแน่ หนึ่งในนั้นก็คือเพลง I'm Not In Love ของวง 10cc จากอังกฤษ ซึ่งแม้ตัวเพลงจะเก่าเกือบ 40 ขวบแล้ว แต่ก็ยังเพราะได้ใจอยู่เลย



*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ ผกก.James Gunn ภายในบล็อก*