วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

The Secret Life of Walter Mitty (2013): การผจญภัยของนายเหม่อ


The Secret Life of Walter Mitty (2013): การผจญภัยของนายเหม่อ

     ผลงานล่าสุดของเฮีย Ben Stiller ที่แกขอควบหน้าที่กำกับ/เล่นเป็นพระเอกเรื่องนี้ดึงดูดความสนใจอย่างสูงจากบรรดาคอหนังนับตั้งแต่ตัวเทรลเลอร์แล้ว ครั้นมาดูตัวหนังเต็มๆ แล้วก็พบว่าหนังมีดีจริงอะไรจริงและคงจะเข้าไปอยู่ในดวงใจของใครหลายคนได้ไม่ยากเลยทีเดียวล่ะ

     แม้ว่าบางช่วงหนังดูจะอืดๆ ง่วงๆ ไปบ้าง และก็ไม่ได้ดีเด่นระดับซิวรางวัล แต่สิ่งดีๆ ก็มีมาทดแทนเพียบ ไม่ว่าจะสไตล์การนำเสนอเก๋ๆ วิวทิวทัศน์อันงดงามสุดอะเมซิ่ง (ไอซ์แลนด์) ที่จัดเต็มจัดหนักกันมาเพียบ ดนตรีประกอบเพราะๆ โดนๆ ที่เข้าใจคัดสรรกันมา และแน่นอนคือข้อคิดดีๆ ในการใช้ชีวิตที่หนังตั้งใจนำมามอบให้ท่านผู้ชมโดยเฉพาะ

     เฮียแกบอกว่าเรื่องนี้ตั้งใจจะไม่เอาฮาเหมือนผลงานอื่นๆ ของแก ซึ่งก็จริงเพราะไม่มีมุกตลกบ้าบอคอแตกมาให้เห็น แต่ก็ยังมีมุกขำๆ หึๆ มาฝากกันอยู่เรื่อยๆ รวมทั้งมุกที่พาดพิงถึงหนังดังๆ เรื่องอื่น ทั้ง The Curious Case of Benjamin Button ไปยันกระทั่ง The Matrix (ฉากเลือกรถนั่นไง) ที่ก็เอามาใช้แต่พองามไม่ได้น่าเกลียดหรือเกินเลยอะไร

     จะว่ากันจริงๆ แล้วหนังเรื่องนี้ไม่ได้ดูแล้วจะชอบหรือปลื้มกันทุกคน เพราะหนังน่าจะเหมาะสำหรับคนวัยทำงาน คนที่เป็นผู้ใหญ่หน่อย (แก่) หรือคนที่รักการท่องไปในโลกกว้าง หนังอาจจะแลดูไม่โดนใจแต่แรกเห็น แต่เมื่อดูไปเรื่อยๆ คุณความดีงามของมันจะค่อยๆ เบ่งบานเติบโตในหัวใจของคุณ จนวินาทีที่หนังจบเอนด์เครดิตขึ้นนั่นแหล่ะ คุณอาจจะเพิ่งรู้ตัวว่าได้หลงรักหนังเรื่องนี้เข้าให้แล้วก็ได้



นี่คือหนังดีๆ จากเฮีย Ben Stiller ที่รอให้พี่น้องมิตรรักแฟนหนังรับเข้าไปไว้ในอ้อมใจอีกเรื่องหนึ่ง ให้ไป 8/10 โลดครับ







*ช่วงเพลงในหนัง*

José González
     สิ่งที่ดีงามอีกอย่างของหนัง The Secret Life of Walter Mitty คือเพลงประกอบที่คัดสรรกันมาแต่เพลงน่าฟังๆ และนี่คือเพลงเพราะๆ ของ Jose Gonzalez ที่ถูกใช้ในช่วงเอนด์เครดิต ฟังแล้วเลิฟทันทีเลยทีเดียว ขอบอก







*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของเฮีย Ben Stiller ภายในบล็อก*
  











วันพุธที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2556

47 Ronin (2013): ซามูไรดาบลูกครึ่ง (ไม่ควบสอง)

47 Ronin (2013): ซามูไรดาบลูกครึ่ง (ไม่ควบสอง)

     หลังจากเลื่อนฉายชนิดข้ามปี ในที่สุดหนังซามูไร/แฟนตาซี ฟอร์มบิ๊กของเฮีย Keanu Reeves ก็ได้ลงโรง (ไม่ใช่โลงนะ) เสียที โดยหนังอยู่ในมือของ ผกก.โนเนม Carl Rinsch ที่โผล่มากำกับหนังยาวเรื่องแรกนี้ก็ได้ทำหนังทุนระดับ 225 ล้านเหรียญสหรัฐเลยทีเดียว

     และหนังก็ออกมาสมกับทุนสร้าง เพราะเสื้อผ้าหน้าผมฉากเฉิกเอฟเฟกต์นั้นดูดีมีชาติการ์ตูน ใครชอบดูคอสตูมกับวิวงามๆ คงชอบใจ ซึ่งเอ่อ...นั่นก็คือสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้แล้ว

     เสียดายที่หนังโดยรวมค่อนข้างเฉยไปจนถึงน่าเบื่อ การเล่าเรื่องดูปุบปับไม่ลงตัวในหลายช่วง ซึ่งเข้าใจว่าเรื่องเล่ามีเยอะ แต่เวลาจำกัด พอจะหันไปดูฉากบู๊มันส์ๆ ก็รีบมารีบไป ดูเฉยไปซะทั้งหมด และหนังล้มเหลวในการสร้างอารมณ์ร่วมทั้งด้านความรักของพระนาง หรือด้านเกียรติยศวิถีบูชิโด (The Last Samurai ของป๋า Tom Cruise เคยทำได้ถึงมาแล้ว) เลยกลายเป็นว่าหนังจบแล้วก็จบกันไปไม่มีอะไรติดค้างออกมาจากโรงไปในที่สุด

     ทราบมาว่าทางสตูดิโอสั่งแก้บท ถ่ายซ่อม และตัดต่อใหม่ เราจึงมิอาจชี้นิ้วลงไปว่าการที่หนังออกมาเป็นแบบนี้นั้นเป็นฝีมือ ผกก. ผู้ที่น่าเห็นใจที่สุดคงไม่พ้นเฮีย Reeves ที่เชื่อว่าเราทั้งหลายอยากเห็นเขากลับมาเจิดจรัสดังคับซอยได้อีกครั้งจริงๆ แต่ดูแล้วคงจะไม่ใช่จากเรื่องนี้เป็นแน่



เอาน่ะ เฮียแกยังมีหนังจ่อคิวฉายอีกสองเรื่องให้แฟนๆ ได้ตามลุ้นกันอีก สำหรับหนังเรื่องนี้เอาไป 5/10 ก็พอนะครับ






*รีวิวหนังเรื่องอื่นของเฮีย Keanu Reeves ภายในบล็อก*

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2556

The Stone Roses: Made of Stone (2013): กุหลาบหินรีเทิร์น

The Stone Roses: Made of Stone (2013): กุหลาบหินรีเทิร์น

     สารคดีที่บันทึกการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งของ The Stone Roses วงร็อคในตำนานจากแมนเชสเตอร์ อังกฤษ เมื่อปีที่แล้ว หลังจากที่พวกเขาแตกวงกันไปตั้งแต่ปี ค.ศ.1996 (ตั้ง 16 ปีแน่ะ)

     สารคดีนี้จัดทำโดย ผกก.Shane Meadows (แห่ง This is England) ที่ประกาศตัวว่าเป็นแฟนเพลงตัวยงและเพื่อแฟนเพลงของวงนี้โดยเฉพาะ ดังนั้นจึงไม่ค่อยเน้นเจาะลึกเรื่องราวความเป็นมาของวงเมื่อครั้งอดีตเท่าไหร่ แต่จะตามติดวงตั้งแต่วันประกาศรวมตัว, ฟรีคอนเสิร์ตครั้งแรกในรอบ 16 ปีที่เซอร์ไพรส์แฟนเพลงแบบสุดๆ, การวอร์มอัพทัวร์ไปทั่วยุโรปที่ไปไม่ตลอดรอดฝั่ง ไปยันงานคอนเสิร์ตที่ Heaton Park ที่จุคนดูกว่า 75,000 คน (และญี่ปุ่นในช่วงเอนด์เครดิต)

     ที่น่าสนใจคือตอนฟรีคอนเสิร์ตครั้งแรกในรอบ 16 ปี ที่ทางวงประกาศให้รู้อย่างปัจจุบันทันด่วน จนบรรดาแฟนเพลงทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่ต่างพากันทิ้งงานประจำหรือกระเตงลูก วิ่งหน้าตั้งมาเข้าคิวรอตั๋วฟรี ซึ่งทำให้รู้ว่าบรรดาแฟนๆ ยังจงรักภักดีกับพวกเขามากแค่ไหน ส่วนบรรดาสมาชิกทั้งสี่ถึงจะแก่จนหน้ายับยู่ยี่แต่ก็ยังฝีไม้ลายมือจัดจ้าน และยังเปี่ยมไปด้วยความสดใสร่าเริงเหมือนในสมัยหนุ่มๆ ยังลีลาได้ใจอยู่ว่างั้นเหอะ

     ถึงเรื่องราวเจาะลึกไม่ค่อยจะมี แต่ก็จัดเต็มทั้งการตัดต่อ ถ่ายทำเท่ๆ แจ่มๆ กับเพลงของทางวงที่มีมาให้ดูให้ฟังให้ปลื้มกันแบบเต็มๆ ซะหลายเพลง

     ดูแล้วก็ลมสว้านขึ้นหน้าอยากขุดอัลบั้มของพวกเขากลับมาฟังอีกในทันใด ถึงตรงนี้ต้องยอมรับแล้วว่าพวกเขายังเป็นวงที่เจ๋งที่สุดที่แมนเชสเตอร์เคยผลิตมาอย่างที่เฮีย Liam Gallagher ออกมาซูฮกในตอนหนึ่งของสารคดีนี้นั่นแหล่ะ







วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Captain Phillips (2013): (อย่า) ลูบคมพี่เบิ้มคับโลก



Captain Phillips (2013): (อย่า) ลูบคมพี่เบิ้มคับโลก

     ถึง ผกก.Paul Greengrass (แห่งหนัง Jason Bourne ภาค 2 และ 3) แกจะนานๆ โผล่มาให้แฟนๆ หายคิดถึงที ทว่าผลงานแต่ละเรื่องของแกนั้นวางใจได้เสมอในด้านคุณภาพ ซึ่งก็รวมถึงผลงานล่าสุดเรื่องนี้เข้าไปด้วย

    ถ้าตามงานแกมาตลอดจะรู้ว่าหนังแกแต่ละเรื่องมักจะสร้างมาจากเหตุการณ์จริงเสมอ (ด้วยความที่แกเคยทำงานเป็นนักข่าวหัวเห็ดมาก่อน) ดังนั้นหนังของแกจึงโดดเด่นในการพยายามสร้างภาพที่ออกมาให้ดูสมจริงสมจังราวกับอยู่ในเหตุการณ์ด้วยก็มิปาน ไม่ว่าจะสไตล์การเหวี่ยงกล้องถ่ายที่ชวนลายตาเหมือนภาพที่เห็นจากเรื่องจริงผ่านจอ รวมทั้งการตัดต่อที่ฉับไวชวนลุ้นใจหายใจคว่ำ ล้วนถูกนำมาใช้ช่วยสร้างอารมณ์จริงของหนังได้อย่างทรงประสิทธิภาพ ซึ่งตรงนี้ก็กลายเป็นเอกลักษณ์เป็นลายเซ็นของแกไปซะแล้ว

     ส่วนคราวนี้ตัวหนังออกมาจับความสนใจคนดูได้อยู่หมัดตลอดทั้งเรื่อง อาทิเช่นการเล่นเอาเถิดเอาล่อระหว่างกัปตันกับเหล่าโจรสลัด หรือการพยายามช่วยเหลือตัวประกันจากทางการ ที่ทำให้คนดูได้ลุ้นตูดขมิบกันตลอด แม้จะรู้กันอยู่ลึกๆ แล้วว่าหนังจะจบลงยังไง (เหมือนคราวหนัง United 93 นั่นไง) ส่วนป๋า Tom Hanks แกก็ทำหน้าที่ได้ดีไม่เสียฟอร์มแต่ประการใดในบทกัปตันเรือมากประสบการณ์ที่ต้องงัดเอาความเก๋ามาต่อกรกับเหล่าโจรสลัดหน้ามืดทั้งหลาย แต่เอ๊ะ มาเรื่องนี้กล้องไม่ค่อยเหวี่ยงเท่าไหร่แฮะ ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่เวียนหัวเนอะ อิอิ



เปรียบเทียบกัปตัน Richard Phillips ตัวจริงกับในหนัง
     และแน่นอนที่แฝงมากับหนังด้วยคือการตีแผ่ความจริงอีกมุมของโลกวันนี้ อย่างการที่ชาวโซมาเลียส่วนใหญ่ที่มีความเป็นอยู่อันทุกข์ยาก จนอาชีพโจรสลัดปล้นเรือสินค้าคืองานในฝันที่พวกเขาคิดว่าจะช่วยให้ลืมตาอาปากได้บ้าง ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่าถึงปล้นสำเร็จแต่ผลประโยชน์เกือบทั้งหมดต้องตกไปอยู่ในมือขาใหญ่ที่บงการอยู่เบื้องหลังอีกทีก็ตาม


     แต่แย่หน่อยที่คราวนี้โจรสลัดเจ้ากรรมดันเลือกไปปล้นเรือขนส่งสินค้าของพี่เบิ้มคับโลกอย่างอเมริกาเข้า ซึ่งหนังแสดงให้เห็นชัดๆ เลยว่า พี่กันเราไม่ยอมยอมเสียหน้าให้กับโจรกระจอกๆ จากประเทศจนๆ หรือแม้แต่ใครหน้าไหนทั้งนั้น และพร้อมจะทำได้ทุกอย่างเพื่อไม่ให้ใครมาลูบคมพญาอินทรีแน่ หึๆ



นี่คือหนังดีมีคุณภาพอีกเรื่องของปี 2013 นะครับ อย่าพลาดกันล่ะ มิตรรักคอหนังทั้งหลาย เราให้ 8/10 เลยครั่บ







*อันเนื่องมาจากหนัง*
A Hijacking/Kapringen (2012): ปล้นปักหลัก

     ดูหนังแล้วก็นึกถึงหนังเดนมาร์กที่สร้างจากเรื่องจริงของการปล้นเรือสินค้าอีกเรื่อง ซึ่งเรื่องนี้โจรสลัดสบายไปเพราะทางบริษัทเจ้าของเรือเขาเน้นการเจรจา แต่แลกมาด้วยการลำบากของบรรดาตัวประกันที่ต้องโดนจับอยู่นานแรมเดือน

   ตัวหนังไม่ได้เน้นที่มาที่ไปของทางโจรสลัดเท่าไหร่ ในขณะที่หนังของป๋าทอมจะมีเหยาะที่มาให้เห็นบ้าง แต่โดยรวมแล้วหนังก็ดีพอๆ กันแหล่ะ (แต่ถ้าชอบลุ้นๆ ต้องหนังป๋าทอม) 

     การต่อรองชีวิตตัวประกันไม่ใช่การต่อรองทางธุรกิจ แต่ในโลกที่เงินคือทุกสิ่ง บางทีเราก็มัวแต่สนใจเรื่องตัวเลขเงินๆ ทองๆ ผลประโยชน์ที่จะต้องเสียไป จนละเลยสิ่งที่น่าจะสำคัญเป็นอันดับแรกอย่างสวัสดิภาพของเหล่าตัวประกันเหล่านั้นไปซะฉิบ 






*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ ผกก.Paul Greengrass ภายในบล็อก*
 

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

The Hobbit: The Desolation of Smaug (2013): อภินิหารตาโบ้หรอยมังกือ



The Hobbit: The Desolation of Smaug (2013): อภินิหารตาโบ้หรอยมังกือ

     หลายคนบ่นว่าภาคที่แล้วชวนง่วงไปนิด เนื่องจากส่วนใหญ่ยังเป็นการปูเรื่อง มาคราวนี้หนังเริ่มเร่งสปีดเรื่องราวขึ้นแล้ว ซึ่งเสี่ย Peter Jackson และทีมงานก็สามารถทำให้หนังที่ยาวเกือบสาม ชม.เรื่องนี้ออกมาบู๊กระหน่ำดูสนุกเพลิดเพลินไม่มีน่าเบื่อ ไม่ว่าจะสำหรับขาจรคนดูทั่วไป หรือบรรดาแฟนานุแฟนของทั่น J. R. R. Tolkien ก็ตามที


     และแน่นอนการลากยาวเป็นหนังสามภาค ทั้งที่หนังสือต้นฉบับที่มีแค่ 300 กว่าหน้านั้น ก็จำเป็นต้องเพิ่มเติมเสริมแต่งอะไรเข้าไปมากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทีมสร้างก็แถเข้าไปด้วยความเข้าใจ ด้วยความเคารพต่อโลกของมิดเดิ้ลเอิร์ธ ทุกอย่างจึงดูไม่แปลกแยกหรือไม่เข้าท่า ไม่ว่าจะด้านรักสามเส้าระหว่าง เอล์ฟ-คนแคระ หรือฉากแกนดาล์ฟป๊ะกันกับเนโครแมนเซอร์ก็ตาม (อันที่จริง เราว่าฉากนี้เด็ดทีเดียวนะ)

     หากจะมีอะไรที่ลดทอนความดีงามของหนังลงไปบ้างก็คงจะเป็น บิลโบ ตัวเอกของเรื่องที่คราวนี้แกดูจะออกแอ็คชั่นกันอย่างเดียว ในขณะที่บทพูดหรือมิติความลึกของตัวละครกลับดูผ่านๆ เผินๆ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเขาแต่เรียกได้ว่าทั้งเรื่องไม่มีบทพูดที่น่าประทับใจหรือน่าจดจำเอาเลย รวมทั้งการที่หนังเป็นภาคกึ่งกลางของไตรภาคที่มักมีจุดอ่อนในด้าน 'จบแบบไม่จบ' ให้คนดูคาใจอีกนั่นเอง

     ไม่รู้สินะเรารู้สึกว่าหนังดี ดูสนุก เทคนิคยอดเยี่ยม แต่กลับไม่น่าตื่นตาตื่นใจหรือน่าประทับใจเท่ากับครั้งไตรภาค The Lord of the Rings เมื่อสิบปีที่แล้ว แต่ถ้ามองว่าหนังไตรภาค The Hobbit จำเป็นต้องมีเพราะจะทำให้เรื่องราวมหากาพย์แห่งมิดเดิ้ลเอิร์ธโดยจินตนาการของ J. R. R. Tolkien ครบถ้วนสมบรูณ์แล้วล่ะก็ เราเห็นด้วยอย่างแรงในจุดนี้จ้า



โดยรวมแล้วภาคนี้ดูสนุกขึ้นจากภาคแรก แอ็คชั่นกันเถิดเทิงตลอดเรื่อง แฟนานุแฟนของหนังชุดนี้และขาจรส่วนใหญ่คงจะปลื้มกันและคงจะรอดูภาคสามกันแทบไม่ไหวเลยทีเดียว 8/10 คะแนนครั่บ

ปล.เสี่ย Peter Jackson โผล่มาแว๊บๆ ในหนังตามธรรมเนียมปฏิบัติของแกอีกครั้ง ส่วนจะโผล่มาตอนไหนนั้นก็จับตาดูกันดีๆ เน้อ อิอิ ^^






*ช่วงเพลงในหนัง*
     ซิงเกิ้ลแรกในรอบสองปีของ Ed Sheeran ศิลปินหนุ่มโฟล์คหัวแดงวัย 22 ขวบจากเกาะอังกฤษ ซึ่งตัวเพลงนี้จะอยู่ในช่วงเอนด์เครดิตของหนัง น่าฟังทีเดียวนะครับเนี่ย ;)






*รีวิวภาคแรกภายในบล็อก*

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Carrie (2013): อย่าแหย่ให้แบ๊วโหด



Carrie (2013): อย่าแหย่ให้แบ๊วโหด

     หนังสยองรีเมคมาอีกเรื่องแล้วจ้า คราวนี้ถึงคิวของ Carrie หนังสยองคลาสสิคจากปี 1976 ที่ถูกฮอลลีวู้ดจับมารีเมคให้คอหนังที่เกิดไม่ทันหรือเกิดทันแต่ลืมๆ ไปแล้วได้สยองกันบ้าง ส่วนจะสยองสมชื่อ'สาวสยอง'หรือไม่นั้นมันก็อีกเรื่องหนึ่งเน้อ

     เวอร์ชั่นปี 2013 นี้หนังได้ Kimberly Peirce ผกก.หญิงที่เคยทำแต่หนังดราม่าตีแผ่ปัญหาวัยรุ่นมาเล่าเรื่อง ดังนั้นอะไรที่เกี่ยวกับวัยรุ่นๆ ในเรื่อง ผกก.เธอทำหน้าที่ได้ไม่ตกหล่นอยู่แล้ว

     แต่ครั้นมองไปที่ความสยองนั้นยังถือว่าหนังธรรมดาเกินไป คือไม่มีอะไรที่โดดเด่นหรือน่าจดจำเท่าไรนัก ที่น่าเสียดายยิ่งไปกว่านั้นคือน้องหนู Chloë Grace Moretz ที่ไม่เหมาะกับบทสาวสยองเอาซะเลย ไม่ว่าจะเป็นการที่หน้าตาเธอน่ารักเกินไป (เกี่ยวมั้ยนั่น) ซึ่งส่งผลให้เมื่อถึงฉากสยอง หน้าน้องเค้าก็ยังดูแบ๊วๆ ไม่น่ากลัวเอาซะเลย (Sissy Spacek ในต้นฉบับกินขาดในเรื่องนี้)



เป็นหนังรีเมคที่ไม่ถึงกับทำเสียของ แต่ก็เกือบสอบไม่ผ่านในเรื่องความสยองเพราะบางฉากแทนที่จะสยองกลับทำให้คนดูในโรงหลายคนขำแทนซะงั้น ให้ไป 5/10 ครั่บ






*ช่วงเพลงในหนัง*

อีกสิ่งหนึ่งที่ดีที่สุดในหนัง Carrie เวอร์ชั่นรีเมคนี้คือเพลงประกอบที่คัดมาแต่เพลงโดนๆ โดยเฉพาะเพลงเพราะๆ เพลงนี้ของ The Civil Wars ที่ถูกใช้ในฉากเต้นรำในงานพรอม :)






 *ย้อนรอยหนังต้นฉบับ*
Carrie (1976): ระดับความน่าเบื่อมีพอๆ กับฉบับรีเมค แต่ที่เหนือกว่าแบบเห็นๆ ก็คือการแสดงของ Sissy Spacek ที่ถึงตอนนั้นจะอายุ 26 ขวบแล้วแต่ยังแอ๊บเป็นเด็กวัยรุ่นได้เนียนๆ และพอบทจะโหดหน้าตาเธอก็ชวนสยองไม่ใช่เล่น


ในยุคโน้นคงจะสยองได้โล่ แต่มาถึงทุกวันนี้ หนังมันดูธรรมดาไปซะแล้วล่ะ 5/10 ก็พอครับ




วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556

The Act of Killing (2012): โหดแอ็คโหด


The Act of Killing (2012): โหดแอ็คโหด

     เกมช่วงชิงอำนาจทางการเมืองและการหวั่นภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ในช่วงกลางยุค 60 ก่อให้เกิดการสังหารหมู่ในอินโดนีเซียที่มียอดคนตายสูงถึง 2.5 ล้านคน (ซึ่งส่วนใหญ่คือสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์และคนเชื้อสายจีนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์) ซึ่งแน่นอนที่หนังสือวิชาประวัติศาสตร์เพียงแค่กล่าวถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้ให้คนอินโดรุ่นหลังๆ ได้รับรู้เพียงแค่ผ่านๆ เท่านั้น

     ที่น่าสนใจคือกลุ่มคนที่ทำหน้าที่มือสังหารในยุคนั้น ต่างยังคงอยู่ดีมีสุข มีกลุ่มมีพรรคเติบโต มีอิทธิพลมาจนทุกวันนี้ ซึ่งแม้แต่นักการเมืองยังต้องเกรงใจ แม้บางคนจะถูกความรู้สึกผิดคอยหลอกหลอน แต่คนอีกส่วนใหญ่แล้วยังคงคิดว่าตัวเองทำถูกทำเพื่อประเทศชาติ และภาคภูมิใจกับการเล่าอดีตอันแสนหฤโหดของตนให้ฟัง

     สารคดีไม่ได้มุ่งเน้นรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ แต่เจาะไปที่ความรู้สึกนึกคิดของเหล่าเพชฌฆาต ด้วยการให้เจ้าตัวมาเล่นละครเป็นตัวเองหรือเป็นเหยื่อสมมุติของเหตุการณ์ในอดีตครั้งนั้น ภาพที่ออกมาเลยเหมือนฝันร้ายที่บางทีก็เหนือจริงแต่ก็แสนหดหู่กดดันควบคู่กันไป

     ที่น่าสนใจคือด้วยความที่กลุ่มของเหล่าเพชฌฆาตยังเรืองอำนาจอยู่จนทุกวันนี้ หนังเลยต้องขึ้นเครดิตทีมงานหลังกล้องทุกคนที่เป็นชาวอินโดนีเซียเองว่า 'Anonymous' หรือ 'นิรนาม' เพื่อป้องกันการถูกตามมาเช็คบิล

     ดูแล้วจะพบว่าเกิดเป็นคนไทยน่ะดีแค่ไหนแล้ว (แม้ประเทศเราจะวุ่นวายตลอดแต่ก็ไม่เลวร้ายถึงขนาดนั้น) โดยเฉพาะหากคุณเป็นคนเชื้อสายจีนล่ะก็ อยู่อินโดนีเซียในยุคโน้น (และอาจรวมถึงยุคนี้) นี่มันนรกดีๆ นี่เอง


เป็นสารคดีที่ดูแล้วกระทบใจอย่างจัง ให้ไปเลย 8/10 ครั่บ



วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Frozen (2013): ง้อพี่ให้คลายหนาว




Frozen (2013): ง้อพี่ให้คลายหนาว

     อนิเมชั่นลำดับที่ 53 ของ Walt Disney เรื่องนี้เป็นการหวนกลับไปจับเอานิทานคลาสสิกมาดัดแปลงอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้่ถึงคิวนิทานเรื่อง The Snow Queen (ราชินีหิมะ) ของ Hans Christian Andersen บ้างล่ะ

     หลังจากทำหน้าที่ได้ดีเกินคาดใน Wreck-It Ralph (2012) มือเขียนบท Jennifer Lee เลยได้กลับมาเขียนบทและเลื่อนขั้นมาเป็น ผกก.เป็นครั้งแรก ร่วมกับ Chris Buck ซึ่งแม้เรื่องราวของหนังจะไม่ค่อยตื่นเต้นหวือหวามากมายอะไร แต่ทั้งคู่ก็ทำหน้าที่เล่าเรื่องได้อย่างดูดีมีเสน่ห์ ดูเพลิดเพลินไม่มีน่าเบื่อสักนิด

     ที่เป็นเสน่ห์สำคัญของหนังคือบรรดาเพลงประกอบที่ล้วนไพเราะน่าฟังแสนบรรเจิด และเวอร์ชั่นพากย์ไทยก็คัดคนมาร้องมาพากย์ได้น่าฟังไม่แพ้เวอร์ชั่นต้นฉบับเลยทีเดียว

     ดีสนี่ย์ยังคงรักษามาตรฐานของตนเองได้อย่างดีเยี่ยม โดยการเอานิทานมาทำอนิเมชั่นในแบบของตนที่ไม่เน้นหวือหวา เอาใจวัยทีน หรือจริงจังจนเกินเด็ก แต่พอใจที่จะรักษาสูตรสำเร็จและแนวทางดั้งเดิมให้อยู่ระดับกลางๆ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป แถมด้วยข้อคิดดีๆ ที่แม้ว่าจะเดิมๆ ซ้ำๆ อยู่บ้าง แต่ก็ยังคงใช้ได้เสมอ อย่างในเรื่องนี้ก็คือ 'รักแท้เอาชนะทุกสิ่ง' นั่นเอง


ดีสนี่ย์ ชื่อนี้ไม่ทำให้ผิดหวังอยู่แล้วจ้า สำหรับอนิเมชั่นโลกสวยเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี (แต่เรื่องนี้เหมาะกับเด็กผู้หญิงมากกว่าใครนะ) ให้ไปเลยโลด 8/10 จ้า ^^



วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Snowpiercer (2013): ขบวนนี้พี่ขอยึด



Snowpiercer (2013): ขบวนนี้พี่ขอยึด

     เคยแสดงฝีมือให้คอหนังได้ประจักษ์มาแล้วเมื่อครั้ง The Host (2006) ในที่สุด ผกก.บองจุนโฮ ก็ขอโกอินเตอร์กับผลงานหนังไซไฟยุคสิ้นโลกเรื่องนี้ที่ขนดาราดังมาเพียบเชียว (อันที่จริงนี่คือหนังเกาหลีที่ใช้นักแสดงอินเตอร์มาเล่นมากกว่า)

    หนังดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนฝรั่งเศสเรื่อง Le Transperceneige อันเกี่ยวกับการเอาตัวรอดของคนกลุ่มหนึ่งบนขบวนรถไฟอันเป็นที่พึ่งสุดท้ายของมวลมนุษยชาติในยุคหลังวันสิ้นโลก

     ต้องขอบอกว่าหนังไม่กะทำให้ดูเอามันส์กันอย่างเดียวเหมือนหนังฮอลลีวู้ดทั่วไป แต่แทรกสาระเรื่องราวเกี่ยวกับ 'การจัดช่วงชั้นทางสังคม' ที่เปรียบขบวนรถไฟแต่ละโบกี้เป็นช่วงชั้นทางสังคม เริ่มตั้งแต่ท้ายขบวนซึ่งเป็นของชนชั้นล่างเรื่อยไปจนถึงหัวขบวนที่เป็นของชนชั้นผู้นำ (อืม เข้าใจคิดนะเนี่ย)

     ดังนั้นด้านสาระเนี่ยหนังมีให้คอหนังได้เก็บไปขบคิดแน่นอน ในขณะที่ฉากแอ็คชั่นก็มีมาให้ไม่น้อย (อารมณ์ขันแบบหึๆ ก็มีแอบหยอดมาตลอด) แต่ดูเหมือนเส้นกราฟอารมณ์ของหนังจะขึ้นๆ ลงๆ อยู่ทั้งเรื่อง คือจะบู๊ก็บิ้วท์กันไปถึงระดับหนึ่งแล้วก็มีช่วงดร็อปอารมณ์ลงมา สักพักก็บู๊กันอีก หนังเลยดูไม่ค่อยสุด ในขณะที่บางอย่างก็ดูไม่ค่อยสมเหตุสมผลให้คนดูช่างจับผิดได้เอ๊ะได้อ๊ะอยู่เรื่อย


ถ้าจะถามว่าหนังดีมั้ยก็ตอบได้เลยว่าดีมีสาระด้วย ผกก.แกทำหน้าที่ได้ดีไม่เสียฟอร์ม แต่ถ้าจะดูเอาสนุกเอามันส์อย่างเดียวก็อาจจะตอบโจทย์ได้ไม่ค่อยดีนัก ให้ไป 7/10 ครับ

     ปล.เฮีย ซองกังโฮ กับหนู โคอาซอง จาก The Host ยังตามมาเล่นบทเป็นสองพ่อลูกในหนังเรื่องนี้ได้อีก อิอิ