วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Warm Bodies (2013): ซอมบี้พันธุ์หลีหญิง


Warm Bodies (2013): ซอมบี้พันธุ์หลีหญิง


     แวมไพร์ก็แล้ว มนุษย์หมาป่าก็แล้ว คราวนี้ถึงคิวของซอมบี้ขอหวานแหววกับเขาบ้างล่ะ และผู้ที่มากุมบังเหียนหนังคือ ผกก.Jonathan Levine จาก 50/50 (2011) ซึ่งเครดิตที่ผ่านๆ มาของเขาก็พอจะทำให้อุ่นใจได้อยู่ว่าหนังคงไม่ออกมาหวานเลี่ยนเหมือนคราวหนังชุดแวมไพร์แหววหรอกล่ะมั้ง


     ซึ่งตัวหนังก็ออกมาน่าพอใจทีเดียว ไม่ว่าจะด้วยเสน่ห์ของพระนางที่หล่อสวยขึ้นกล้อง การเล่าเรื่องที่โดนใจวัยทีน พล็อตที่เป็นญาติห่างๆ กับ Romeo & Juliet (ชื่อพระนาง R = Romeo, Julie = Juliet) และเสน่ห์สำคัญที่สุดของหนังก็คือเพลง ที่คัดกันมาแต่เพลงเพราะๆ โดนๆ ในแบบที่คอเพลงต้องชื่นชอบกันแน่นอน


     แต่ถ้าถามบรรดาคอหนังซอมบี้เดนตายแล้ว การเห็นซอมบี้มีความคิดหัวใจและมีความรักแบบในหนังนั้นมันเป็นอะไรที่รับไม่ได้ พอๆ กับการเห็นแวมไพร์นุ่มนิ่มในทไวไลท์นั่นแหล่ะ รวมถึงตอนจบที่ค่อนข้างเล่นง่ายและตามสูตรสำเร็จไปบ้าง


     นอกนั้นหนังคือหนังรักกุ๊กกิ๊กที่เอาซอมบี้มาทำหวานได้ดูแปลกแตกต่างดี แถมดูเพลินถูกใจวัยโจ๋ เพลงก็เพราะโดนใจ ซึ่งข้อหลังเนี่ยแหล่ะคือสิ่งที่ทำให้เราถูกใจหนังเรื่องนี้ขึ้นไปอีกหลายคำรบ





หนังก็ดูเพลินอยู่แล้ว แถมมีเพลงเพราะถูกใจแบบนี้ก็ขอแถมให้อีกเป็น 7/10 ไปเลยจ้า








*ช่วงเพลงในหนัง*
หนังของ ผกก.Jonathan Levine นั้นมีจุดเด่นด้านการเลือกเพลงอยู่แล้ว รวมถึงใน Warm Bodies ซึ่งเสน่ห์ที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูดีขึ้นไปอีกก็คือเพลง ที่คัดกันมาแต่แจ่มๆ ต่างแนวต่างยุค ในแบบที่คอเพลงได้ฟังเป็นต้องยิ้มกริ่มกันเป็นแถวแน่ และนี่คือหนึ่งในเพลงที่เด่นและน่าจดจำที่สุดในหนัง :)







*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ ผกก.Jonathan Levine ภายในบล็อก*
 

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Fast & Furious 6 (2013): ซิ่งสู้ฟัด


Fast & Furious 6 (2013): ซิ่งสู้ฟัด

     ภาคที่แล้วมันส์เถิดเทิงซะปานนั้น แฟรนไชส์ Fast & Furious เลยกลายเป็นอะไรที่แฟนๆ ทั่วโลกเฝ้ารอคอย ซึ่งในภาคที่หกนี้ ผู้สร้างก็ยังขยันหาอะไรมันส์ๆ ชนิดจัดเต็มมากำนัลแฟนๆ ได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ จนแทบจะสนุกสูสีกับภาคที่แล้วเลยทีเดียว (หนังเว่อร์แหลกอยู่แล้ว แต่เขาเว่อร์ได้สะใจดีแท้)

     หนังเปลี่ยนอารมณ์จากการที่พวกพระเอกเคยแต่เป็นโจร เป็นฝ่ายปล้น เป็นคนนอกกฏหมาย เป็นฝ่ายโดนไล่ล่าต้องคอยหนีตำหนวดมาตลอด คราวนี้ได้ทีพลิกบทบาทมาเป็นฝ่ายล่าโจรตัวแสบบ้างล่ะ ซึ่งนั่นก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศที่ไม่เลว

     แต่ตรงจุดนี้ก็มีข้อเสียของมันคือ ไม่ได้เล่นกับการวางแผนสุดลุ้น ไม่ได้หนีตำรวจ เรียกว่าขาดสีสัน (ในการเป็นโจร) ไปพอสมควร แต่ผู้สร้างก็ยังเกลี่ยน้ำหนักความมันส์ออกมาได้สม่ำเสมอ ดูสนุก ดูเพลิน ไม่ต้องคิดมาก ไม่มีเฝือตลอดความยาว 130 นาทีของหนัง

     และดูราวกับว่าในภาคนี้เป็นการจัดระเบียบตัวละคร เหมือนกำลังวางหมากว่าใครควรอยู่ใครควรไป และปลุกผีตัวละครดั้งเดิมมาให้ครบชุดแฮปปี้มีลยิ่งขึ้นไปอีก รวมถึงตบเรื่องราวให้เกี่ยวเนื่องต่อยอดกับจักรวาล Fast & Furious ได้แบบเนียนๆ อีกด้วย

     เห็นมุกหยอดท้ายยั่วคนดูให้ฮือฮาในช่วงท้ายเรื่องและหลายสิ่งที่หนังเรื่องนี้กำลังทำแล้วชวนให้นึกถึงหนังยอดมนุษย์ของ Marvel เพราะมามุกคล้ายๆ กัน ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่เสียหาย หรือน่าตำหนิ เพราะทุกวันนี้ศักยภาพ หรือศักดิ์ศรีของหนังชุด Fast & Furious ก็ไม่ได้ขี้ๆ เยี่ยวๆ กากๆ เหมือนครั้งอดีตอีกแล้ว

     ขืนทำหนังออกมาสนุกเถิดเทิงแบบนี้ ทำออกมากี่ภาคๆ รับรองคนก็ยังแห่แหนเข้าไปดูแน่นโรงอย่างที่เป็นแน่นอนจ้า 




มันส์สะใจแฟนๆ พอๆ กับภาคที่แล้ว ให้ไป 3.5/5 ดาวครับ


ปล.ภาคหน้า ผกก.Justin Lin ที่เหมาหน้าที่กำกับหนังชุดนี้มาตั้งแต่ภาค 3 ขอสละเก้าอี้ โดยมี ผกก.เลือดเอเซียอีกคนอย่าง James Wan (หนังชุด Saw) มารับหน้าที่แทน ส่วนท่าน The Rock ก็มาไม่ได้เพราะติดคิวหนังเรื่องอื่น อันตัวหนังวางโปรแกรมฉาย ก.ค.ปีหน้า แฟนๆ ทราบแล้วเปลี่ยนจ้า :)






*รีวิวหนัง Fast & Furious ภาคอื่นๆ ภายในบล็อก*
 

วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Star Trek Into Darkness (2013): ม้าเต่อสู้ศึก



Star Trek Into Darkness (2013): ม้าเต่อสู้ศึก

     หลังจากที่เวอร์ชั่นรีบู้ตเมื่อปี 2009 ประสบความสำเร็จอย่างงดงามจนสามารถปลุกผีหนังชุด Star Trek ให้กลับขึ้นมาผงาดง้ำค้ำโลกาภาพยนตร์ได้อีกครั้ง ผกก.J.J. Abrams และทีมงานจึงขอกลับมาอีกครั้งด้วยความมั่นใจจรดปลายเล็บเท้า ผลที่ออกมาคือ ขนาดภาคก่อนที่ว่าสนุกแล้ว มาเจอภาคนี้ยังต้องชิดซ้ายตกท่อไปเลยทีเดียว

     ความสนุกเถิดเทิงนั้นไม่ต้องสืบ แต่สิ่งพิเศษที่ทำให้หนังของเขาออกมาเหนือกว่าผจญภัย/ไซไฟหนักเอฟเฟกต์ของชาวบ้านเขาคือ หนังของเขามีอารมณ์ความรู้สึก เศร้าเป็นเศร้า ซึ้งเป็นซึ้ง แบบที่สามารถเรียกน้ำตาจากคนดูใจอ่อนได้เลยในบางฉากบางตอน

     ในขณะเดียวกันก็ยังเอาอกเอาใจแฟนบอยของ Star Trek ที่เรียกกันว่า Trekkie อย่างไม่ตกหล่นมีทอน จนขาจรบางคนอาจจะตามเนื้อหาไม่ทันในบางช่วงได้ (ประมาณทำเอางงว่าพวกเขากำลังพูดถึงใคร อะไร ที่ไหนกันอยู่หว่า?)

     ภาคก่อน ผกก.โดนแซวว่าใช้แสงแฟลร์หนักมือไปหน่อย ภาคนี้แกเลยปรับปรุงลดปริมาณลงไปเยอะ แต่ช่วงหลังๆ ก็ยังคงมีออกมาให้เห็นอยู่ ปัดโธ่ นั่นมันลายเซ็นต์ของแกเลยนะ ขอหน่อยเหอะน่า

     ส่วนบรรดานักแสดงดูเหมือนคราวนี้ท่าน Benedict Cumberbatch ที่รับบท Khan แกจะเล่นดีเล่นเด่นชนิดกินเรียบรอบวง ไม่แบ่งความดีความชอบให้ใครเลย (คนอื่นก็เล่นดี แต่โดนแกกลบรัศมีหมด)

     ขนาดเราผู้สถาปนาตนเป็นแฟน Star Wars และเฉยๆ กับ Star Trek มาโดยตลอด ดูภาคนี้ยังรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการผจญภัยของลูกเรือยาน USS Enterprise เลย นับประสาอะไรกับแฟนๆ รุ่นเก๋า หรือคนรุ่นใหม่อีกหลายคนที่พอดูแล้วก็อาจขอยื่นใบสมัครเป็น Trekkie ที่หน้าโรงกันเลย

     ดูหนังจบแล้วก็เริ่มมีความหวังอันเรืองรองขึ้นมาว่า ผกก.Abrams คงจะสามารถทำ Star Wars ภาคใหม่ให้ออกมาถึงใจแฟนๆ ได้แน่ แค่นึกถึงวันนั้นก็สยิวไปถึงไส้ติ่งแล้ว เริ่มต้นที่ Star Trek แต่ไหงจบที่ Star Wars ได้เนี่ย อิอิ 




สนุกล้ำครบเครื่องเรื่องปิ้งย่างแบบนี้ ให้ไปเลย 8/10 ครับ






*รีวิว Star Trek ภาคอื่นๆ ภายในบล็อก*

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Evil Dead (2013): ผีตำมะตะ




Evil Dead (2013): ผีตำมะตะ


     ไปๆ มาๆ ดูเหมือนหนังเรื่องนี้จะไม่ใช่หนังรีเมคซะแล้ว หากแต่เป็นการรีบู้ตและยังเป็นภาคต่อกลายๆ (ภาค 4?) ของไตรภาคผีอมตะ หนังผีขึ้นหิ้งขวัญใจคอหนังคัลท์อันโด่งดังเมื่อสมัย 30 ปีก่อน

     ที่ว่าอย่างงั้นเพราะหนังไม่ได้เดินตามต้นฉบับแบบก้าวต่อก้าว หากแต่เปลี่ยนหลายสิ่งหลายอย่างไปซะจนไม่ใช่ของตายที่ดูแว่บแรกก็รู้ตอนจบ ในขณะเดียวกันก็ยังรักษาเอกลักษณ์บางอย่างของหนังชุดนี้ไว้ชนิดที่แฟนๆ ต้องยิ้มเมื่อได้เห็น

     ผกก.Sam Raimi ผู้ให้กำเนิดหนังชุดนี้เลือก ผกก.โนเนมชาวอุรุกวัย Fede Alvarez ให้มารับผิดชอบหนังโรงเรื่องแรกของเขานี้ ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีมากๆ คือพาหนังไปสู่ด้านรุนแรงสุดๆ ชนิดที่แม้แต่คนที่ดูหนังแนวแหวะจนชินชาก็ยังต้องดูไปแอบหวาดเสียวไป แถมหนังทิ้งอารมณ์ขันพิลึกๆ แบบสามภาคแรกไปซะหมดแล้วซีเรียสจริงจังให้เต็มที่

     จริงอยู่ที่หนังมากับขนบเดิมๆ ที่เราเห็นมานักต่อนักแล้ว แต่ด้วยฉากแหว่ะที่ถึงพริกถึงขิง และความจริงจังกับการสร้างความสยองชนิดไม่ปราณีปราศรัยไม่มีช่วงให้ผ่อนคลาย ทำให้หนังโดยรวมออกมาสยองเข้าเส้น โดยเฉพาะสำหรับบรรดาคอหนังสยองทั้งหลายที่ต้องชื่นชอบกันแน่ๆ

     แม้หนังจะไม่ถึงกับเลิศเลอเพอร์เฟกต์ แต่ถ้าว่ากันตามมาตรฐานของหนังรีบู้ต/รีเมคแล้ว ถือว่าหนังทำได้ดีมากๆ นี่ถ้าตัวพระเอกเราไม่เล่นหน้าเดียวอารมณ์เดียวตลอดทั้งเรื่องอย่างที่เห็นแล้วล่ะก็ เราคงจะเทคะแนนให้เยอะกว่านี้เป็นแน่ ;P




จัดไปเลยครั่บ 7/10

ปล.ผู้สร้างเตรียมเข็นภาคต่อออกมาแล้วซึ่งลือกันว่าอาจจะเป็นการทำ Army of Darkness ภาคสอง (โอ้ว!)

ปล.2 หากเอาอักษรตัวแรกของชื่อบรรดาตัวละครในหนัง David, Eric, Mia, Olivia และ Natalie มารวมกันก็จะได้คำว่า 'DEMON'




วันพุธที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Iron Man 3 (2013): มหาประลัยเศรษฐีเกราะเยอะ



Iron Man 3 (2013): มหาประลัยเศรษฐีเกราะเยอะ

     หลังจากภาคที่แล้วหนังออกมาไม่ค่อยสนุกนัก ผกก.Jon Favreau เลยขอถอยฉากมาเล่นเป็นตัวประกอบอย่างเดียวในภาคนี้ ส่วนป๋า Robert Downey Jr. ก็เลยสบช่องดันเพื่อนเก่าอย่าง Shane Black ที่เคยร่วมงานกันมาก่อนใน Kiss Kiss Bang Bang (2005) ให้เลื่อนขั้นมากำกับแทนซะเลย

     ซึ่งก็นับว่าเป็นการตัดสินใจที่เข้าท่าเพราะมหาประลัยเศรษฐีเกราะเหล็กในภาคนี้ออกมาสนุกได้ในทิศทางที่ไม่ซ้ำซาก แม้อาจจะไม่สนุกเถิดเทิงเท่ากับหนังรวมมิตรฮีโร่อย่าง The Avengers (2012) แต่ก็ยังดูสนุกกว่าภาคที่แล้วก็แล้วกันนะ

     ที่ว่าหนังมาในทิศทางที่ไม่ซ้ำซากนั้นเพราะดูเหมือนในภาคนี้จะไม่เน้นการให้พระเอกสวมเกราะเต็มยศ แต่จะหามุกให้พระเอกได้บู๊แบบไม่ครบเครื่อง ขาดส่วนโน้นส่วนนี้ บู๊แบบไปแต่เกราะ (คนที่ยังไม่ได้ดูงงล่ะเซ่) หรือไม่ก็ต้องบู๊กันตัวเปล่าไม่ต้องพึ่งเกราะไปเลยก็มี ส่วนพล็อตหนังนี่ถ้าไม่มีอะไรโม้ๆ ประเภทอมนุษย์ มนุษย์เกราะเหล็กแล้วล่ะก็ นี่มันหนังทริลเลอร์ล่าผู้ก่อการร้ายดีๆ นี่เอง

     หนังยาวเหยียดซะสอง ชม.สิบนาที ดังนั้นจึงมีช่วงสนทนาเยอะหน่อย แต่เสน่ห์ของป๋า Downey Jr. ในคราบ Tony Stark ยังเอาอยู่ในทุกวินาทีที่แกขึ้นจอ ส่วนฉากไคลแม็กซ์ช่วงท้ายก็ทำออกมาได้สนุกเข้าท่าดี แม้เหมือนจะไม่สุดๆ สะใจโก๋ก็ตาม

     วันนี้ไปดูคนเข้าคิวกันตีตั๋วยาวเหยียดจนอยากจะเปลี่ยนวันแรงงานแห่งชาติให้เป็นวัน Iron Man แห่งชาติไปซะแล้ว (อิอิ) แต่ก็ไม่เป็นไรพอได้ดูแล้ว หนังเขาสนุกดีไม่เสียเหลี่ยม Marvel แต่อย่างใด ใครที่ยังลังเลๆ ว่าจะดูไม่ดู ก็ทราบแล้วเปลี่ยน และจึงเรียนมาเพื่อนทราบโดยทั่วกันจ้า

ปล.ใครกะจะนั่งรอดูของแถมหลังเครดิตท้ายเรื่องตามธรรมเนียมหนัง Marvel ล่ะก็อย่าหวังไว้มากล่ะ เพราะไม่มีอะไรให้ได้อู้หูหรอก ขอบอก :P




จัดไป 7/10 ครับ







*รีวิว Iron Man ภาคอื่นๆ และหนังที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*