Django Unchained (2012): โก้จังนะ อีจังโก้
แม้ระยะหลังๆ เสี่ย Quentin Tarantino จะมีผลงานหนังออกมานานๆ ที แต่แฟนหนังก็ยังวางใจได้เลยว่าหนังของเขาเด็ดทุกเรื่อง รวมถึงผลงานล่าสุดเรื่องนี้ด้วย ที่ก็ได้เข้าชิงรางวัลออสก้าร์ตั้งห้าสาขา ก่อนจะซิวมาได้สองอย่างที่ทราบกัน
และก็เป็นอีกครั้งที่เขานำเอาอิทธิพลของหนังเกรดบียุคก่อนที่ตนชื่นชอบมาประยุกต์ยำคลุกจนออกมาเป็นหนังคาวบอยสุดแจ่มเรื่องนี้ ซึ่งถ้าหากท่านเป็นคอหนังตัวพ่อ ก็จะพบการอ้างอิงถึงหนังเหล่านั้นเรี่ยร่ายรายทางอยู่ตลอดเรื่อง ซึ่งนี่ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของหนังเสี่ยเขาเลยล่ะ
หนังยาวเกือบสาม ชม.แต่ดูสนุกดูเพลินตลอดเรื่อง ไม่มีช่วงเวลาให้เบื่อเลยสักนิด แม้จะเป็นฉากสนทนาแต่ก็ยังมันส์ได้ตามสไตล์หนังเสี่ยเขา บทจะยิงกันก็ยิงกันเลือดพุ่งเว่อร์ ได้ทั้งความสะใจคอซาดิสม์ และได้ฟีลหนังเกรดบีสมัยก่อนด้วย แถมยังเก๋ด้านการเลือกใช้เพลงประกอบแบบไม่เกรงใจใครเช่นเดิม คือบางฉากเนี่ยเล่นเปิดเพลงแร็พขึ้นมาเลยด้วยซ้ำครั่บ (เจ๋งดีนะ)
ด้านนักแสดงที่เด่นมาตั้งแต่ต้นเรื่องก็คือน้า Christoph Waltz ที่เล่นดีสมแล้วที่ซิวออสก้าร์ไปอีกครั้ง ซึ่งที่เก๋คือเรื่องก่อน (Inglourious Basterds) แกเล่นเป็นนาซีเยอรมันตัวร้าย แต่เรื่องนี้แกคือคาวบอยเยอรมันที่เป็นฝ่ายพระเอกในขณะที่เหล่าคนอเมริกันแท้ๆ นั้นกลับกลายเป็นตัวร้ายแทน
ส่วนนาย Leonardo DiCaprio เราแม้จะฉีกบทบาทมาเล่นเป็นตัวร้ายได้ดี (ฉากทุบโต๊ะน่ะเขาเลือดออกจริงๆ แต่ก็ยังแสดงต่อจนจบซีน) แต่ก็โผล่มาช้าและไม่โดดเด่นโดนใจมากพอที่จะได้เข้าชิงออสก้าร์ (ใครดูแล้วจะเข้าใจว่าทำไม)
ในยุคนี้ก็มีแต่คนทำหนังแบบเสี่ยเขากับอีกไม่กี่คนเนี่ยแหล่ะ ที่สามารถเอาสไตล์หนังสมัยก่อนที่ใครๆ ก็ว่าเชย เว่อร์ มายำแซ่บใหม่จนออกมาเป็นหนังเท่ๆ เก๋ๆ เปี่ยมคุณภาพสุดแจ่มได้ ต้องยกเครดิตให้เขาเลย เสี่ยไม่ทำให้ผิดหวังอีกแล้วครั่บทั่น!
เอาไปโลด 8/10 สำหรับหนังคาวบอยที่แหกกฏจนได้ดีเรื่องนี้
ปล.ตอนหนังจบ เดินออกจากโรง ได้มีโอกาสซักถามพูดคุยกับเพื่อนร่วมโรงอีกสองท่านถึงความรู้สึกต่อหนังเรื่องนี้ ซึ่งทั้งคู่ก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าชอบหนังเรื่องนี้มาก เสียดายว่าไม่ได้คุยกันนานนัก หากว่าท่านคนใดคนหนึ่งเผอิญหลุดเข้ามาเจอข้อความนี้ ก็กรุณาแสดงตนด้วยนะครั่บ :D