วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556

Zero Dark Thirty (2012): อีบินตายแน่



Zero Dark Thirty (2012): อีบินตายแน่

     ผกก.Kathryn Bigelow กลับมาพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า เธอคือ ผกก.หญิงที่เก่งและแกร่งที่สุดในยุคนี้ ชนิดที่ว่าต่อให้ ผกก.ชายทั้งดุ้นที่ดังๆ หลายคน มาทำหนังเรื่องนี้ก็ยังมิอาจหนักแน่นและถึงลูกถึงคนได้ขนาดนี้ก็เป็นได้

     หนังเสนอปฏิบัติการล่าหัว Osama bin Laden ที่อเมริกาทุ่มเม็ดเงินไปกว่าพันล้านดอลล่าร์ กับระยะเวลาสิบปีกว่าจะสัมฤทธิ์ผลในวันที่ 2 พ.ค.2011 เมื่อหน่วยรบพิเศษยกขบวนกันไปเฉ่ง บิน ลาเดน ถึงในห้องนอน

     หนังเต็มไปด้วยบทสนทนา แถมยังมีบทสรุปของเรื่องราวที่เรารู้ๆ กันอยู่แล้วว่าจะเป็นยังไง แต่ ผกก.เราก็สามารถเล่าเรื่องออกมาได้อย่างน่าติดตาม หนักแน่น ขึงขัง จริงจัง ชวนลุ้น แม้ว่าพี่ไทยเราจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาในงานนี้เลยก็ตาม

     หนังสามารถถูกมองได้หลายมุม ทั้งมุมของคนที่คิดว่าหนังโปรการทรมาน มองว่าเป็นหนังหาเสียงของ ปธน.Obama มองว่าเป็นหนังโปรอเมริกา หรืออะไรก็แล้วแต่ มันก็เป็นได้ทั้งนั้นตามแต่ทัศนคติของท่าน แต่อย่าลืมว่านี่คือหนัง คงไม่ออกมาเป๊ะๆ ตามเหตุการณ์จริงได้หรอก (ไม่ว่าจะเป็นความตั้งใจหรือไม่ของผู้สร้างก็ตามที) ดังนั้นโปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม



ซึ่งถ้าให้มองในแง่หนัง ที่มีไว้เพื่อการบันเทิงที่ถึงคุณภาพคุ้มค่าน้ำตาไหลแล้วล่ะก็ เรื่องนี้ จัดเต็ม 8/10 ครับผ้ม


     ปล.ชื่อเรื่องคือศัพท์ทางทหารที่หมายถึงเวลา 00:30 น. ซึ่งนอกจากจะเป็นเวลาจริงขณะออกปฏิบัติการแล้ว ยังหมายถึงการใช้ความมืดอำพรางตัว และยังเป็นการอุปมาอุปไมยถึงปฏิบัติการล่าหัวบิน ลาเดน ที่ใช้เวลายาวนานนับทศวรรษอีกด้วย







*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ ผกก.Kathryn Bigelow ภายในบล็อก*

The Day (2011): ปักหลักเชือด



The Day (2011): ปักหลักเชือด

     หนังแอ็คชั่นทุนน้อยเรื่องนี้ มีนาย Dominic Monaghan (Merry แห่ง Lord of the Rings) มารับหน้าที่เรียกแขก แถมพ่วงด้วยนักแสดงหน้าคุ้นๆ อีกสองสามคน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือสาว Ashley Bell ที่เคยรับบทคนโดนผีเข้าได้อย่างเด็ดดวงใน The Last Exorcism (2010) นั่นไง

     หนังเริ่มต้นมาอย่างน่าสนใจด้วยเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคหลังวันสิ้นโลก เมื่อโลกเกิดการกันดารอาหารอย่างหนัก ประชากรที่เหลืออยู่น้อยนิดจึงต้องกระเสือกกระสนเอาตัวรอด บ้างก็ตะลอนทัวร์หาของกินไปเรื่อยๆ บ้างก็รวมกลุ่มกันจัดก๊วนคนกินคน (The Road?) และหนังคือเรื่องราวการเชือดเฉือนกันระหว่างบางคนของทั้งสองกลุ่มนี้

     ครั่บ หนังมันทุนน้อย ดังนั้นจึงว่ากันอยู่ที่โลเกชั่นเดียวเกือบทั้งเรื่อง ซึ่งก็ไม่ได้น่าเบื่ออะไร เพราะหนังมีฉากแอ็คชั่นโหดๆ มากำนัลตลอด กับเอฟเฟกต์ที่ทำได้ตามอัตภาพไม่ดีไม่แย่ ส่วนพล็อตก็คงไม่มีอะไรพิสดารมากมาย เลยค่อนข้างจะเป็นหนังแอ็คชั่นกะเอามันส์ (นิดๆ) ที่พอดูได้ ทว่าดูแล้วก็แล้วกันไปอีกเรื่อง

     แต่ที่น่าจดจำที่สุดคงเป็นบทบาทของสาว Bell เองที่เป็นสาวแกร่งพูดน้อย บู๊หนัก ฆ่าคนสักคนเพื่อความอยู่รอดได้อย่างไม่ลังเล เท่จริงๆ จนดูแล้วอยากจะยกให้ตัวละครนี้เป็นสุดยอดสาวนักบู๊แห่งโลกภาพยนตร์อีกคน ที่เจ๋งไม่น้อยหน้ากว่าฮีโร่สาวนักบู๊จากหนังดังๆ เรื่องอื่นๆ เลยทีเดียวนะขอบอก (โอเค อาจจะโหดและมอมแมมกว่านิดนึง)





หนังแอ็คชั่นทุนน้อย แต่บางอย่างก็เข้าท่าแบบนี้เอาไป 5/10 เลยครับ


ปล.ไม่แน่ใจว่าหนังเรื่องนี้จะมาออกแผ่นที่บ้านเราหรือไม่ ส่วนใครอยากดูก็คงรู้นะว่าจะหาดูได้จากที่ไหน ;)





วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

Bubba Ho-Tep (2002): สองเฒ่าถล่มมัมมี่



Bubba Ho-Tep (2002): สองเฒ่าถล่มมัมมี่

มีบางสิ่งที่เราอยากจะบอกเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ คือ...

     - พระเอกของเรื่องคือ Elvis ราชาร็อคแอนด์โรลที่เบื่อหน่ายความโด่งดังและชีวิตที่ขาดอิสระเลยเปลี่ยนตัวกับบางคนแล้วออกเดินทางเปิดการแสดงไปเรื่อยในฐานะนักร้องเลียนแบบเอลวิส ก่อนจะประสบอุบัติเหตุตกเวทีทำให้ต้องเดินเดี้ยงและใช้ชีวิตยามแก่อยู่ที่บ้านพักคนชราในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง ด้วยความหมดอาลัยตายอยาก แถมนกเขาของแกยังไม่ยอมขันมาตั้งหลายปีแล้วด้วย (เอิ่ม...)

     - พระเอกมีเพื่อนรักชื่อ Jack ที่เป็นคุณตาผิวหมึกที่อ้างว่าตนเป็นอดีต ปธน.John F. Kennedy ซึ่งถูก ปธน.คนต่อมาจับแปลงโฉม ย้อมสีผิว (?!) ก่อนจะถูกส่งมากบดานที่นี่เพื่อซ่อนตัวจากนักลอบสังหาร ซึ่งแม้ว่าแกจะแก่จนป่านนี้แล้วก็ยังระแวงเรื่อยว่าจะมีใครตามมาฆ่าแกอยู่เลย (เอิ่ม...)

     - อยู่ๆ บ้านพักคนชราที่พระเอกอาศัยอยู่ก็มีมัมมี่โบราณจากอียิปต์คอยแอบโผล่มาจับบรรดาคนแก่ไปดูดวิญญาณ (มาได้ไงวะ?!) เพราะว่าคนแก่เหล่านี้ไม่มีทางสู้ และถ้าตายไปก็คงไม่ใครสงสัยอะไร ซึ่งลือกันว่ามันดูดวิญญาณออกทางตูดของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายซะด้วย (เอิ่ม...)

     - เมื่อทั้งสองเฒ่ารู้เข้าจึงร่วมแรงร่วมใจลุกขึ้นต่อกรกับมัมมี่ตนนั้นเพื่อปกป้องเพื่อนๆ ที่บ้านพักคนชรา แม้ว่าสภาพยามออกศึกของทั้งคู่จะดูอเนจอนาถเพราะคนหนึ่งต้องใช้วอล์กเกอร์ช่วยเดินเหิน ส่วนอีกคนต้องนั่งรถเข็นไฟฟ้าก็ตามที (เอิ่ม...)

     - ถึงพล็อตจะแบบ 'มึงคิดได้ไงวะเนี่ย?' ขนาดนี้แต่ก็ไม่ได้ออกมาบ้าบอคอแตกไร้สาระซะทีเดียว เพราะหนังยังพูดถึงประเด็นคนชราในสังคมยุคนี้ที่ให้ความสำคัญกับคนหนุ่มสาวมากกว่า ในอารมณ์ที่ค่อนข้างน้อยเนื้อต่ำใจ ถึงขั้นดราม่าบาดใจไปเลยล่ะ

     - แม้ทุนหนังจะน้อยนิด พล็อตจะพิลึกกึกกือ แต่บทพูดของหนังก็มีสีสันชวนขำชวนฮาได้ตลอด น้า Bruce Campbell และคนอื่นๆ ก็เล่นได้ดีได้ใจไปเลยโลด หนังโดยรวมจึงดูเพลิน น่าพอใจเกินหน้าหนังไปโขเลยทีเดียว



ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหนังตลก/สยอง ทุนต่ำเรื่องนี้ถึงขึ้นหิ้งหนังคัลต์คลาสสิกไปแล้วในทุกวันนี้ ให้ไปเลย 7/10 ครับ




Sinister (2012): ผีแอบถ่าย




Sinister (2012): ผีแอบถ่าย

     หลังจากประสบความสำเร็จแบบท้วมๆ กับ Daybreakers (2009) ดูเหมือนเฮีย Ethan Hawke ชักจะติดใจหนังผีเข้าซะแล้ว และนี่คือหนังผีเรื่องล่าสุดของแกที่คราวนี้ขอแท็กทีมมากับ ผกก.Scott Derrickson ซึ่งเคยแจ้งเกิดจากหนังผีอย่าง The Exorcism of Emily Rose (2005) นั่นเอง

     หนังมาด้วยพล็อตที่ไม่ได้แปลกพิสดารอะไร แต่ที่เด่นก็คือการสร้างบรรยากาศหลอน ไม่ว่าจะเป็นมุกการฉายฟุตเตจหนังซูเปอร์ 8 ที่ให้อารมณ์ของสนัฟฟ์ฟิล์มแบบเห็นๆ ทั้งยังมีดนตรีประกอบที่หลอนได้ใจ และการหมั่นใช้ความวังเวงมาทำให้รู้สึกหวิวๆ ก่อนจะมีเสียงดังผ่าง! ให้คนดู (และพระเอก) ต้องตกสะดุ้งเป็นอาจิณ

     และแน่นอน อีกหนึ่งข้อดีของหนังคือเฮีย Hawke ซึ่งสามารถพาการแสดงดีๆ มาช่วยเสริมสร้างบรรยากาศน่าขนลุกได้อีกเยอะ ไม่ว่าจะเป็นมาดทำหน้าเหยเก หวาดเสียวยามดูฟุตเตจหนัง หรือหวีดร้องแต๋วแตกยามเจอผีตุ้งแช่หลอก ซึ่งเหล่านี้ล้วนสามารถช่วยต่อยอดจินตนาการสยองของคนดูได้เป็นอย่างดี

     แต่ความน่ากลัวที่ถูกบิ้วต์มาซะดิบดี กลับถูกบั่นทอนลงด้วย เหล่าผีที่หาได้มีความน่ากลัวไม่ (ตัวหัวหน้าก็สภาพอย่างกับสมาชิกวงแบล็คเมทัล) ซึ่งประสบปัญหาเดียวกับ Insidious (2010) ที่บางคนเห็นผีแล้วก็คงจะขำด้วยซ้ำ กับมุกหักมุมที่ไม่เกินคาดเดา มันก็เลยไปไม่ได้สุดแบบที่ควรจะเป็นอย่างน่าเสียดายนิดๆ

     ยังไงซะนี่ก็ยังเป็นหนังผีน้ำดี ที่เน้นสยองด้านมู้ดมากกว่าพล็อต ซึ่งก็คงตอบสนองนี้ดของคอหนังสยองได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียวแหล่ะ





น่ากลัวไม่สุดแต่ก็สอบผ่าน เอาไป 6/10 ครับ








*รีวิวหนังของ Ethan Hawke เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*
 

วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

Lawless (2012): กอดคอกันไว้อย่าให้ใครเจาะกบาล



Lawless (2012): กอดคอกันไว้อย่าให้ใครเจาะกบาล

     ที่ผ่านมา John Hillcoat ผกก.ชาวออสซี่ล้วนแต่ทำหนังระดับคุณภาพออกมาทั้งสิ้นไม่ว่าจะ The Road (2009) หรือ The Proposition (2005) และนี่คือผลงานล่าสุดของเขาที่สร้างจากนิยายกึ่งประวัติศาสตร์ซึ่งเล่าเรื่องของสามพี่น้องตระกูล Bondurant ที่เคยเป็นขาใหญ่ในการค้าเหล้าเถื่อนของอเมริกายุค ค.ศ. 1930 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เหล้านั้นถือเป็นสิ่งผิดกฏหมาย

     หนังมาในแนวแก๊งสเตอร์ภูธรที่มาพร้อมนักแสดงมีเกรดเพียบเลย ดังนั้นถือว่าหน้าหนังแข็งแรงเอามากๆ และ ผกก.ก็ทำหน้าของตนได้อย่างดีตามฟอร์ม รวมถึงหนังมีงานโปรดักชั่นที่ดูดีมีมาตรฐาน ซึ่งล้วนส่งเสริมภาพของอเมริกายุคโน้นได้อย่างจริงจังน่าเชื่อถือทีเดียว

     แต่ถึงจะทำออกมาได้ดี ทว่าเรื่องราวของหนังยังค่อนข้างจะธรรมดาไปบ้างคือหนังเล่าไปเรื่อยๆ มีบู๊มีโหดบ้างประปรายก่อนจะจบแบบเฉยๆ ไม่เกินคาดเดา อีกอย่างคือหนังยังใช้งานนักแสดงเกรดเอที่มีอยู่อย่างไม่ค่อยจะคุ้มค่านัก (มีเพียงเฮีย Guy Pearce นักแสดงขาประจำของ ผกก.ที่รับบทตัวโกงได้ถ่อยและกวนตีนชนิดโดดเด้งมากๆ) แต่ถ้าหากหวังจากหน้าหนังที่แข็งแรงซะมากไป ก็อาจจะมีผิดหวังเอาได้

     ดังนั้นนี่จึงเป็นหนังแก๊งสเตอร์น้ำดี ดาราเยอะ ในระดับดูได้ดูดีไม่เสียเซลฟ์ ที่แม้ว่าหากดูจากหน้าหนังแล้วยังถือว่าน่าจะทำออกมาได้น่าจดจำกว่านี้อีกแยะก็ตามที





ทำได้แค่นี้ก็ไม่เสียฟอร์ม ผกก.แล้ว จัดไป 6/10 ครับ







*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ ผกก.John Hillcoat ภายในบล็อก*
 

วันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2556

The Collection (2012): คอลเลคชั่นเลือดสาด


The Collection (2012): คอลเลคชั่นเลือดสาด

     ภาคแรกที่ออกมาเมื่อปี ค.ศ.2009 เข้าท่าและได้ผลตอบรับค่อนข้างดีทีเดียว ก็เป็นธรรมดาที่ ผกก.Marcus Dunstan (มือเขียนบทหนังชุด Saw ตั้งแต่ภาค 4) จะต้องทำภาคต่อออกมาอีก

     แค่เปิดเรื่องมาห้านาทีหนังก็ประเคนฉากสยองเข้ามาแล้ว และก็เดินเครื่องระทึกกันไม่มีผ่อน ซึ่งภาคแรกที่ว่าเป็นญาติห่างๆ ของ Saw แล้ว ภาคนี้ถึงขั้นกลายเป็นญาติสนิทกันไปเลย เพราะไอเดียฉากกับดักมรณะสุดครีเอททั้งหลายนั้นอย่างกับยื้มลุง Jigsaw มาใช้อย่างนั้นแหล่ะ

     และก็เช่นเดียวกับภาคแรก หนังมีทั้งอะไรเด็ดๆ ที่คอหนังสยองต้องซี้ดซ้าด (ตัวละครเอาตัวรอดได้และไม่งี่เง่าเหมือนอีกหลายๆ เรื่อง) คละเคล้ากับหลายอย่างที่ชวนยี้ (มากับมุกซ้ำๆ ไม่มีอะไรใหม่) แต่โดยรวมแล้วก็ยังถือว่าน่าพอใจอยู่ดี โดยเฉพาะฉากจบที่ต้องสะใจใครหลายๆ คนเป็นแน่

     เป็นหนังสยองที่เว้ากันซื่อๆ โหดกันไม่ยั้ง ไม่มีอะไรลึกซึ้งให้ดูเอาสาระ นอกไปจากการยืนยันอย่างหนักแน่นอีกครั้งว่า "มนุษย์ด้วยกันนั่นแหล่ะที่น่ากลัวที่สุดแล้ว"





สนุกพอๆ กับภาคแรก (หรืออาจจะมากกว่านิดหน่อย) ถูกใจคอหนังสยองนักเชียว จัดไป 6/10 ครั่บ






*รีวิวภาคแรกภายในบล็อก*

วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2556

Savages (2012): เมียพวกข้าใครอย่าแตะ




Savages (2012): เมียพวกข้าใครอย่าแตะ

     แม้ปัจจุบันชื่อของ ผกก.Oliver Stone จะไม่สามารถเรียกแขกได้เหมือนเมื่อสมัย 10-20 กว่าปีที่แล้ว แต่แกก็ยังขยันเข็นผลงานออกมาอย่างสม่ำเสมอ ด้วยระดับคุณภาพของแต่ละเรื่องที่ไม่ได้ทำออกมาแบบตีหัวเข้าบ้านให้แฟนๆ เฟลแต่อย่างใด

     อันที่จริงหนังก็ไม่ค่อยจะมีฉากแอ็คชั่นมากมายอะไร แต่ ผกก.Stone ก็สามารถเรียกความสนใจของคนดูได้ตลอดรอดฝั่ง ด้วยบทสนทนา สถานการณ์ หรือเสน่ห์ของเหล่านักแสดงหลัก หรือแม้แต่เหล่าร้ายที่บทหนังก็ยังพยายามเติมมิติให้ไม่ได้แบนราบ (Benicio Del Toro เล่นได้เหี้ย..ม มาก) แม้ว่าสุดท้ายบทสรุปของหนังจะไม่พีคถึงที่สุดก็ตามที แต่ก็ไม่ได้ย่ำแย่หรือชวนยี้อะไรเลย

     และเป็นไปตามฟอร์มที่หนังของแกต้องนำเสนอความเป็นไปของอเมริกาทุกวันนี้ อย่างเช่นการที่เหล่ามาเฟียจากประเทศเพื่อนบ้านก็เข้ามาทำมาหากินในอเมริกาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน หรือการอยู่กินแบบสองผัวหนึ่งเมียเหมือนเป็นเรื่องปกติของคนหนุ่มสาวยุคนี้ ฯลฯ

     หนังแอ็คชั่นอาชญากรรมเรื่องนี้ก็ยังพิสูจน์ให้เห็นอีกครั้งว่า ถึง ผกก.Oliver Stone จะไม่ดังอย่างวันวานแต่ฝีมือก็ไม่ได้ตก (มากมาย) นะเฟ้ยขอบอก ใครชอบหนังอาชญากรรมแรงๆ ก็คงจะไม่ผิดหวังกันอยู่แล้ว


เอาไป 6/10 ครับ




วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

Flight (2012): ปลิ้นเยี่ยงวีรบุรุษ



Flight (2012): ปลิ้นเยี่ยงวีรบุรุษ

     หลังจาก Cast Away (2000) ผกก.Robert Zemeckis ก็ตัดสินใจหันไปทำหนังอนิเมชั่นซะสามเรื่องติด และหนังเรื่องนี้คือหนังใช้คนแสดงเรื่องแรกของเขาในรอบ 12 ปีเลยก็ว่าได้

     หนังเล่าเรื่องของกัปตันเครื่องบินขี้เมา (Denzel Washington) ที่กลายเป็นฮีโร่ เมื่อสามารถใช้ฝีมือขั้นเทพนำเครื่องบินโดยสารซึ่งกำลังประสบปัญหาหัวทิ่มจวนจะโหม่งโลกอยู่แล้วให้ลงจอดได้อย่างไม่เสียหายมากมายนัก แต่ปัญหาที่ตามมาคือเขาต้องเผชิญหน้ากับการไต่สวนหาคนผิดที่อาจทำให้เขาต้องติดคุกหัวโต และยิ่งไปกว่านั้นเองคือการต่อสู้กับอาการติดเหล้าอย่างหนักของตนอีกด้วย

     เปิดเรื่องไม่นาน ผกก.Zemeckis ก็มอบฉากเครื่องบินตกอันน่าระทึกขวัญที่สุดในรอบหลายปีแก่คนดูแล้ว ส่วนหลังจากนั้นก็เน้นเสนอเรื่องดราม่าที่เปิดโอกาสให้น้า Washington ได้วาดลวดลายเต็มที่ ในบทคนติดเหล้าที่ถึงกับยอมเลือกเหล้าแทนลูกเมีย ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีจนสมแล้วที่ได้เข้าชิงออสก้าร์นำชายยอดเยี่ยม (แต่จะได้หรือเปล่านั้นก็อีกเรื่อง)

     จะว่าไปธีมหลายๆ อย่างในหนังก็คล้ายๆ กับ Cast Away อยู่บ้างทั้งโศกนาฏกรรมอันเลวร้าย การชวนให้ฉุกคิดถึงเรื่องโชคชะตา ความศรัทธาในพระเจ้า แม้ว่าตัวละครนักบินขี้เมานี้จะไม่ค่อยชวนให้เอาใจช่วยเท่ากับพนักงาน FedEx ติดเกาะก็ตามที

     นี่เป็นหนังดีให้แง่คิด การแสดงแจ่ม แต่ก็ยังไม่ค่อยน่าประทับใจมากมายนัก ทว่าอย่างน้อยหนังก็ประสบความสำเร็จในการแสดงให้เห็นว่า 'เหล้า' มันสามารถทำร้ายชีวิตของคุณและคนอื่นๆ รอบข้างได้มากแค่ไหน ถึงขนาดที่ว่ามันสามารถทำให้วีรบุรุษกลายเป็นไอ้บัดซบไปในเพียงแค่ปลิ้นเดียวเท่านั้นเอง




กลับมาทำหนังคนแสดงอีกทั้งทีต้องให้มันได้แบบนี้สิ 7/10 จ้า




วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556

V/H/S (2012): สยองคับม้วน


V/H/S (2012): สยองคับม้วน

     หนังรวมมิตรสยองอีกเรื่องที่บอกกันตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้วว่าขอมาในอารมณ์แบบโฮมวีดีโอหรือเรื่องจริงผ่านจอ ด้วยบรรดานักแสดงโนเนม และก๊วน ผกก.ที่ไม่ค่อยดัง (ดังสุดก็คือ Ti West จาก Cabin Fever 2: Spring Fever)

     และด้วยการที่หนังมีธีมเป็นโฮมวีดีโอภาพในหนังเรื่องนี้จึงออกมาสีบูดๆ ภาพซ่า ภาพล้ม ไม่ชัดเจน ในบางช่วง แถมยังเหวี่ยงกล้องถ่ายซะ ซึ่งตรงนี้ถ้าใครไม่ชอบดูหนังสไตล์นี้ก็คงจะยี้กัน แต่ถ้าใครรับได้ก็จะพบว่าบรรดาเรื่องสั้นสยองแต่ละเรื่องที่คัดกันมา ก็ไม่ได้ย่ำแย่เลย หรือจะบอกว่าหนังดีกว่าที่คิดด้วยซ้ำไปก็ยังได้

     นี่เห็นว่ากำลังมีภาคสองตามออกมาอีกในชื่อ S-VHS นั่นก็แสดงว่าภาคแรกพอไปได้อยู่ ถ้าใครชื่นชอบหนังแนวสยองขวัญรวมมิตรหรือหนังแนวเรื่องจริงผ่านจอ (กำมะลอ) ที่ดูกันได้หลอนๆ ล่ะก็เชิญทางนี้เลยจ้า





โดยรวมแล้วหนังทำดีกว่าที่คิด ให้ไปเลย 6/10 ครับ




วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

The Watch (2012): จิตอาสาพิทักษ์โลก


The Watch (2012): จิตอาสาพิทักษ์โลก

     หนังตลกเรทอาร์ที่นำโดยเฮีย Ben Stiller เรื่องนี้เต็มไปด้วยเหตุบังเอิญ ฉากตลกห่ามๆ มีฉากเซ็กซ์หมู่ ฉากเล่นสัปดนกับศพเอเลี่ยน ฉากแหว่ะ เรียกว่าเป็นหนังตลกสำหรับคุณพ่อบ้านเมียเผลอ (หรือไม่เผลอก็ได้) โดยแท้เลยทีเดียว

     ด้วยความที่เป็นหนังตลกอะไรๆ ในหนังก็เลยดูเล่นๆ ไม่จริงจังไปซะหมด เรียกว่าหนังเปิดประเด็นที่น่าสนใจต่างๆ เยอะ แต่ก็แตะแบบผ่านๆ เพราะหันไปจับมุกอื่นต่อไปเรื่อยเปื่อยอย่างน่าเสียดาย ส่วนกลุ่มนักแสดงนำก็ดูจะไม่ค่อยเข้าขากันเท่าไหร่นัก ทว่าก็ยังช่วงมีเวลาขำๆ มาฝากกันได้อยู่หรอก

     ที่น่าสนใจคือหนังก็ยังอุตส่าห์สามารถสะท้อนสังคมยุคนี้ ที่พ่อลูกไม่ค่อยเปิดใจต่อกัน ทางเดียวที่พ่อจะรู้ความเป็นไป สารทุกข์สุกดิบ หรือความในใจของลูก คือต้องแอบเข้าไปอ่านเฟซบุ้คของลูกแทนซะงั้น ซึ่งมันคือความจริงอันแสนตลกร้ายจริงๆ หนอ

     หนังพอดูกันได้เรื่อยๆ สนุกพอได้ ตลกพอใช้ ดูจบแล้วก็แล้วกันไป เอาจริงๆ ก็คือนี่ถ้าหนังลดมุกสัปดนเรื่อยเปื่อยลงหน่อย แล้วหันไปเน้นมุกตลกสถานการณ์ที่เจอะจงกว่านี้ บางทีมันอาจจะออกมาสนุกกว่าที่เป็นก็เป็นได้มั้ง



การกู้โลกของเฮีย Ben ครั้งนี้เอาไป 5/10 ครับ




วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

End of Watch (2012): คู่ปราบสนั่นซอย



End of Watch (2012): คู่ปราบสนั่นซอย

     หนังดราม่า/อาชญากรรม โดยฝีมือ ผกก.David Ayer ที่เคยเขียนบทให้หนังแนวแวดวงตำรวจสุดเจ๋งอย่าง Training Day (2001) นั่นไง

     หนังตามติดชีวิตตำรวจลอสแองเจลลิสสองนาย (ซึ่งรับบทโดย Jake Gyllenhaal และ Michael Peña) ทั้งยามออกปฏิบัติหน้าที่และยามใช้ชีวิตส่วนตัว ด้วยสไตล์การถือกล้องถ่าย หรือใช้กล้องจากแหล่งอื่นๆ เพื่อต้องการให้หนังออกมาสมจริงประมาณเรื่องจริงผ่านจอ ทั้งๆ ที่สองพระเอกเราน่ะดังออกซะอย่างงั้น?

     จริงๆ แล้วพล็อตหนังก็ออกมาธรรมดาเว้ากันซื่อๆ ไม่มีอะไรพิสดารเหนือความคาดเดา แต่ด้วยเสน่ห์ของตัวละครนำ การเล่าเรื่องที่ลื่นไหล ความจริงจังของเหตุการณ์ มันทำให้หนังกลับดูเพลินและน่าติดตามเอามากๆ คนที่ชอบหนังตำรวจๆ อย่าง Training Day ก็น่าจะถูกใจกัน

     ถึงหนังจะตามติดตีแผ่ชีวิตตำรวจแต่ก็ออกไปในแนวยกย่องเชิดชูวีรกรรมความกล้าหาญของเขาเหล่านั้นมากกว่า แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาเหล่านั้นออกมาเป็นพ่อเทพบุตรจุติลงมาเกิด เพราะพวกเขายังเป็นคนหนุ่มที่มุทะลุ เลือดร้อน เฮฮาปาร์ตี้ บ้าบอไปวันๆ เหมือนกับเราๆ ท่านๆ นั่นแหล่ะ เพียงแต่พวกเขาพร้อมจะปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้มุ่งหาประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้องอย่างตำหนวดบางพวกแถวๆ นี้เท่านั้นเอง

     และหนังเรื่องนี้ก็ตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่าในตอนนี้คนผิวดำไม่ใช่ "คนชั้นล่างหรือกลุ่มชนที่มีแนวโน้มจะก่ออาชญากรรม" ที่สุดในอเมริกาอีกต่อไปแล้ว เพราะหนังแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคนเชื้อสายเม็กซิกันนั้นมาแรงกว่า ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากได้รับการสนับสนุนจากองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่จากประเทศเม็กซิโกเอง จนแก๊งเม็กซิกันระบาดแอลเอในทุกวันนี้




หนังไม่ดีเลิศแต่ก็ดูสนุกซะแบบนี้ เอาไปเลย 8/10 ครั่บ





วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

Broken (2012): เพราะชีวิตมันไม่ง่ายเลย



Broken (2012): เพราะชีวิตมันไม่ง่ายเลย

     หนังดราม่าแนวก้าวพ้นวัยเรื่องนี้นอกจากจะมีนักแสดงที่หลายคนชื่นชอบอย่าง Cillian Murphy และ Tim Roth คอยเรียกแขกแล้ว ตัวหนังเองยังมีดึถึงขั้นซิวรางวัลหนังยอดเยี่ยมของ The British Independent Film Awards ครั้งล่าสุดมาครองได้อีกต่างหาก

     หนังเล่าเรื่องราวชีวิตของหลายคนหลากครอบครัวที่อาศัยในละแวกเดียวกันแถบชานเมืองแถวลอนดอนเหนือ ที่มีทั้งสุขและทุกข์ ไปจนถึงขั้นนองเลือดเลยทีเดียว

     Rufus Norris นักแสดงที่ผันตัวมาทำหนังเรื่องยาวเป็นเรื่องแรกนำเสนอเรื่องราวชีวิตแบบบ้านๆ แต่เป็นสากล สิ่งที่ตัวละครในหนังได้พบเจอล้วนสามารถเกิดขึ้นกับใครๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวฐานะปานกลางที่อังกฤษหรือเพื่อนบ้านของท่านที่เห็นหน้าหรือทักทายกันอยู่ทุกวันก็ตามที (ฉากลูกสาวอ้อนพ่อให้ซื้อมือถือเครื่องใหม่ให้นี่ใช่เลย)

     หนังมีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ Skunk สาวน้อยวัย 11 ขวบที่รับบทโดย Eloise Laurence ซึ่งเธอเล่นเป็นบทเด็กสาวนิสัยดีที่กำลังจะเริ่มโตเป็นวัยรุ่นได้ดีเป็นธรรมชาติมากๆ จนไม่น่าเชื่อว่าเพิ่งจะเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แถมยังโชว์เทพร้องเพลงประกอบหนังได้สุดเพราะอีกต่างหาก (เพลงประกอบแต่งโดย Electric Wave Bureau ที่เฮีย Damon Albarn แห่ง Blur มีเอี่ยวอยู่ด้วย)

     ถึงเรื่องราวของหนังจะพื้นๆ บ้านๆ แต่ก็สมจริงและจับความสนใจได้อยู่หมัดตั้งแต่ต้นจนจบ แถมยังทำเก๋ตัดต่อย้อนไปมาแบบพองามเพื่อแสดงให้เห็นที่มาที่ไปในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังอีกด้วย

     ชีวิตคนเราย่อมต้องเจอทั้งเรื่องสุขและทุกข์สลับกันไป แต่อย่าลืมว่าเราไม่ได้อยู่เพียงลำพัง เพราะยังมีคนที่รักเรา คนในครอบครัว (โดยเฉพาะพ่อแม่) ที่คอยรักคอยห่วงใยและพร้อมจะอยู่เคียงข้างและเป็นกำลังใจให้เราเข้มแข็งพอที่จะผ่านพ้นมันไปเสมอ แม้ว่าเราอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นเองก็ตามที

     รักพ่อแม่ให้มากๆ ให้ได้ครึ่งหนึ่งที่ท่านรักเราก็ยังดี เพราะอย่าลืมว่าท่านคงไม่ได้อยู่ให้เรารักตลอดไปหรอกนะ



หนังดราม่าดีๆ มีมาครบทุกรส กับการแสดงแจ่มๆ ดนตรีเพราะๆ ประทับจิต ไม่ให้ 8/10 ก็ใจร้ายเกินไปแล้ว ;)





เพลงประกอบหนังเพราะๆ ที่สาวน้อย Eloise Laurence ขับร้องเองด้วยนะ

วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

Holy Motors (2012): วันพิลึกของนายพิลั่น



Holy Motors (2012): วันพิลึกของนายพิลั่น

     หนังฝรั่งเศสสุดพิลึกของ ผกก.Leos Carax เรื่องนี้แค่เปิดเรื่องมาก็เหวอซะแล้ว ก่อนที่ทั้งเรื่องจะมีแต่เหตุการณ์เหวอๆ เกินอธิบายประดังประเดเข้ามาจนไม่ต้องแปลกใจหากท่านดูไปก็ต้องเกาหัวแกรกๆ พลางพึมพำกับตนเองอย่างเอ๋อๆ ว่า "หนังบ้าอะไรของมันวะเนี่ย?!"

    หนังตามชีวิตในหนึ่งวันของชายคนหนึ่งที่นั่งรถลิมูซีนสีขาวร่อนไปทั่วปารีสแล้วทยอยสวมบทบาทเป็นบุคคลต่างๆ ไม่ซ้ำแบบทั้งหญิงชราขอทาน, ชายติงต๊อง, นักแสดงโมชั่นแคปเจอร์, จิ๊กโก๋, นักดนตรี ฯลฯ

    ครั่บ หนังเขาแนวจริงๆ แต่ไม่ได้แนวไปวันๆ แบบไร้แก่นสารนะ เพราะหนังมีอะไรให้นักดูหนังช่างขบคิดได้ตีความ แต่สำหรับคอหนังขาจรที่เผอิญได้ดูก็คงจะงงเป็นไก่ตาแตกไปตามระเบียบ ทว่าก็ยังดีนะที่ถึงหนังจะดูเหวอๆ งงๆ แต่ก็ไม่น่าเบื่อ เพราะมีอะไรแปลกๆ มาให้ดูกันเรื่อยๆ ในอารมณ์ที่แตกต่างราวกับเอาหนังสั้นมาประติดประต่อกันเป็นเรื่องเดียวคือมีทั้งอารมณ์บ้าบอ หลุดโลก ดราม่า มิวสิกวีดีโอ หนังเพลง ไปยันหนังอาชญากรรม ป๊าด!

    ทางด้านนักแสดงก็ยังเก๋ได้อีกโดยได้สาว Eva Mendes กับ Kylie Minogue โผล่มาร่วมแจมในบางฉากกับเขาด้วย แต่ที่ควรจะได้รับคำชมไปเต็มๆ ก็คือ Denis Lavant นักแสดงขาประจำของ ผกก.เขา ที่รับบทบาทหลากหลายตั้ง 8-9 คาแร็คเตอร์ได้ชนิดไม่ซ้ำกันทั้งบุคลิก ท่าทาง ลีลาการพูด สุดยอดไปเลยโลด

    หากดูหนังฝั่งฮอลลีวู้ดมากๆ จนเริ่มเอียนก็เปลี่ยนบรรยากาศมาดูหนังแปลกๆ แนวๆ แบบนี้บ้างก็ดีนะ แม้ดูแล้วอาจจะไม่ค่อยเข้าใจตัวหนังนักก็เถอะ ใครชอบของแปลกเชิญทางนี้ เผื่อท่านอาจจะติดใจนะขอบอก ;)





หนักพิลึกจนได้ใจแบบนี้จัดไปเลย 7/10 จ้า






วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

Killing Them Softly (2012): ฆ่านิ่มๆ แต่ขอเน้นๆ



Killing Them Softly (2012): ฆ่านิ่มๆ แต่ขอเน้นๆ

     ดูเหมือนใจคอ ผกก.Andrew Dominik แกจะคลอดผลงานหนังออกมา 6-7 ปีต่อเรื่อง ซึ่งมันเป็นการเว้นช่วงที่นานไม่ใช่เล่น แต่ยังดีที่ผลงานซึ่งออกมาแต่ละเรื่องนั้นมีคุณภาพคับไห จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เฮีย Brad Pitt ยังคงตัดสินใจกลับมาร่วมหัวจมท้ายกับผลงานเรื่องล่าสุดของเขานี้ หลังจากเคยร่วมงานกันมาแล้วในหนังคาวบอยชื่อย๊าวยาวอย่าง The Assassination of Jesse James by the Coward Robert Ford (2007) นั่นไง

     ต้องบอกก่อนว่าแม้พล็อตเรื่องดูจะไม่หวือหวาอะไรนัก แต่การเล่าเรื่องนั้นค่อนข้างมีสไตล์ นักแสดงคุ้นหน้าก็มากมี และมีฉากยิงกันที่ค่อนข้างรุนแรง (แต่มีไม่เยอะ) แม้ว่าหลายฉากจะคุยกันลากยาวไปเรื่อยจนพาลจะชวนเบื่ออยู่นิดๆ ก็ตามที แต่ถ้าตั้งใจฟังตั้งใจคิดตามก็จะเห็นได้ว่าทั้งหมดทั้งมวลของเรื่องนี้คือการวิพากษ์วิจารณ์สภาพสภาพเศรษฐกิจของอเมริกาแบบเต็มๆ

     ใช่แล้วครั่บ นอกจากนี่จะเป็นหนังแนวอาชญากรรมแมนๆ แรงๆ ปนตลกร้าย แต่ที่พ่วงมาด้วยแบบตั้งใจสุดๆ ของผู้สร้างคือการวิพากษ์วิจารณ์สภาพเศรษฐกิจของอเมริกา โดยจะเห็นได้จากการที่หนังคอยแทรกภาพข่าวทางทีวีเป็นระยะๆ ในฉากหลังที่เอ่ยถึงสภาวะวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ (วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์) ของอเมริกาในช่วงปี ค.ศ.2008 และการเลือกตั้งหา ปธน.คนใหม่แทนที่ George W. Bush (ซึ่งก็คือช่วงที่ Barack Obama กำลังจะรับช่วงบริหารประเทศต่อนั่นเอง)

     ลองคิดดูสิว่ายุคนั้นเศรษฐกิจอเมริกา (และโลก) มันย่ำแย่ขนาดไหน อย่าว่าแต่ชาวบ้านตาดำๆ (หรือตาสีอะไรก็ตามที) ที่ได้รับผลกระทบแบบเต็มๆ เท่านั้น ขนาดที่ว่าแม้แต่เหล่ามาเฟีย คนนอกกฏหมายทั้งหลายยังโดนหางเลขไปด้วยเล๊ย

     หนังเริ่มต้นก็บอกกันนัยๆ ตั้งแต่ชื่อเรื่องแล้วว่ามันหมายถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ค่อยๆ ฆ่าประชาชนชาวอเมริกันอย่างนิ่มๆ และยังปิดท้ายโดยการให้เฮีย Pitt ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ประเทศของตนอย่างเจ็บแสบว่า...

"I'm living in America, and in America, you're on your own. America's not a country. it's just a business."




หนังอาชญากรรมแฝงการวิพากษ์วิจารณ์สภาพเศรษฐกิจอเมริกา ซึ่งมีฉากยิงกันค่อนข้างแรง แต่ยังน่าเบื่อในบางช่วง จัดไป 6/10 คะแนนกำลังดีจ้า




วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

Amour (2012): รักเอย



Amour (2012): รักเอย

     Michael Haneke ชื่อนี้ช่างมีมนต์ขลังสำหรับบรรดานักวิจารณ์หรือคอหนังตัวจริงเสียงจริง แต่สำหรับคอหนังแบบบ้านๆ (เช่นเราและใครอีกหลายๆ คน) แล้ว หนังของเขาส่วนใหญ่คือยาขมหรือยานอนหลับดีๆ นี่เอง (ขนาดนั้น)

     มาผลงานเรื่องล่าสุดของเขานี้ ต้องบอกว่าไม่ธรรมดาอีกแล้วครับท่านเพราะได้ไปเฉิดฉายบนเวทีแจกรางวัลหนังเกือบทุกเวทีใหญ่ๆ อาทิการซิวรางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ คว้ารางวัลลูกโลกทองคำ และล่าสุดก็ได้ชิงออสก้าร์ตั้งหลายรางวัล รวมทั้งนักแสดงนำหญิง Emmanuelle Riva (84 ขวบ) ซึ่งคุณยายได้ชื่อว่าเป็นผู้เข้าชิงสาขานี้ที่อายุเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ของออสก้าร์เลยทีเดียวเชียว

     หนังมาในสไตล์หนังยุโรปเป๊ะ นั่นคือการแช่กล้องถ่ายนิ่งๆ เป็นอาจิณ เล่นกันไม่อยู่กี่คน ฉากไม่กี่ฉาก เต็มไปด้วยบทสนทนา และมีฉากสัญลักษณ์งงๆ ให้ตีความ ดังนั้นหากท่านถูกสไตล์หนังอันฉับฉึ่กหวือหวาของฮอลลีวู้ดสปอยล์จนคุ้นชินมาแล้วล่ะก็ เตรียมเบื่อและเตรียมหลับได้เลยงานนี้ แต่หากพอจะคุ้นเคยกับหนังยุโรปหรือพอจะเริ่มปรับตัวกับจังหวะของหนังได้ก็จะพบว่าหนังนั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ อย่างที่เขาว่าแหล่ะ

     สำหรับเราที่เฉยๆ กับหนังของ ผกก.Haneke มาตลอด กลับพบว่าเรื่องนี้ของแกดูเข้าถึงง่ายกว่าเรื่องที่ผ่านๆ มาแยะ แม้หนังจะนิ่งๆ แต่กลับสามารถสร้างอารมณ์ให้แก่คนดูได้อย่างหลากหลาย ทั้งสงสาร เศร้า ประทับใจ ซึ้ง งง ช็อค (เบื่อกับง่วงไม่นับ) และชวนให้ขบคิดหนังจบอารมณ์ไม่จบอีกต่างหาก

     ที่น่าสรรเสริญสุดๆ คือการแสดงของทั้งคุณตาคุณยาย ที่โผล่แทบจะทุกฉากและก็เอาอยู่โดยไม่ต้องพึ่งบิ๊กแบ๊ก (มุกเก่าไปไหม?) ดูแล้วแทบจะปูผ้ากราบงามๆ เลยทีเดียว (เชียร์คุณยายให้ได้ออสก้าร์นำหญิงเลยจ้า)

     สมแล้วที่คนเขาซูฮกตัวหนังซะปานนี้ เพราะของเขาดีจริงๆ และถ้าจะให้ดีก่อนดูขอให้ท่านนอนหลับพักผ่อนมาอย่างเพียงพอ ไม่งั้นอาจเป็นอย่างที่บอกข้างต้นว่า นี่มันคือยานอนหลับดีๆ นี่เอง





หนังของ ผกก.คนนี้ถ้าไม่ชอบก็อาจจะเหม็นเบื่อไปเลย แต่สำหรับเรา ตอนดูหลับไปสองรอบ เลยขอให้คะแนนตามประสาคอหนังบ้านๆ 7/10 ครับ อิอิ





Rock of Ages (2012): รักร็อคร็อค



Rock of Ages (2012): รักร็อคร็อค

     หนังเพลง/ตลกที่ดัดแปลงมาจากละครเพลงบรอดเวย์เรื่องนี้ มีจุดขายตรงการจับเอาเพลงร็อคดังๆ จากยุค 80 มาเรียบเรียงร้องรำกันใหม่ และที่เป็นไฮไลท์ยิ่งไปกว่านั้นคือการได้ป๋า Tom Cruise มารับบทเทพบุตรร็อค อันเป็นตัวประกอบ (แต่เด่น) ของเรื่องอีกด้วย

     สำหรับบรรดาคนที่เกิดทันฟังเพลงร็อคยุค 80 แล้วล่ะก็ นี่คือการย้อนหวนคืนสู่อดีตอันน่ารื่นรมย์จริงๆ ส่วนคอเพลงยุคหลังก็มีโอกาสได้สัมผัสวัฒนธรรมร็อคในยุคนั้นอีกด้วย (แม้จะไม่เต็มร้อยก็ตาม) ในขณะที่บรรดาคอหนังเพลงก็จะได้เห็นเหล่าดารามาขับขานบทเพลงเหล่านั้นกันเป็นที่สนุกสนานซะ

     เหล่านักแสดงในเรื่องก็ดูจะร้องเล่นด้วยเสียงตนเองได้ดีกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะเฮีย Tom ที่สามารถร้องเพลงร็อคไอ้หนุ่มผมยาวแบบเสียงแหลมสูงได้ดีเกินคาด แต่น่าเสียดายที่ตัวนางเอกที่ถึงแม้จะสวยเสียงดี แต่เสียงเธอดันแหลมเล็กตะแง๊วๆ ไม่เหมาะกับแนวเพลงร็อคอย่างแรง (เหมาะกับแนวป็อปแบบ Britney Spears ซะมากกว่านะ) เลยค่อนข้างจะสร้างความรำคาญในยามที่เธอโผล่มาร้องเพลงอยู่ไม่ใช่น้อย (ความเห็นส่วนตัว)

     และน่าเสียดายที่หากเทียบกับหนังเพลงเรื่องอื่นๆ ในยุคหลังแล้วหนังเรื่องนี้ออกแนวอัดเพลงแล้วเพลงเล่าเข้าๆ มาซะจนเฝือซะมากกว่า เพราะนอกจากฉากร้องเพลงแล้ว เนื้อเรื่องการเล่าเรื่องนั้นก็เฉยๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจสักเท่าไหร่ กับความยาวของหนังสองชั่วโมงเลยค่อนข้างเป็นอะไรที่กว่าจะดูจบก็เกือบเอียนกันไปข้างเลยทีเดียว

     เอาน่ะ อย่างน้อยคอหนังและคอเพลงยังมีอะไรค่อนข้างเพลินให้ดูกันอยู่บ้าง ในสภาวะที่แสนเครียดได้ดูหนังแบบนี้บ้างก็ดีนะ ขอบอก






หนังพอดูได้เพลินๆ แบบนี้เอาไป 5/10 พอจ่ะ





วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

Seven Psychopaths (2012): 7 อันตรายฮาได้อีก


Seven Psychopaths (2012): 7 อันตรายฮาได้อีก

     ทุกวันนี้ผลงานเรื่องก่อนของ ผกก.Martin McDonagh อย่าง In Bruges (2008) กลายเป็นหนังคัลต์ขวัญใจนักวิจารณ์ไปแล้ว คราวนี้เขากลับมาอีกครั้งในผลงานหนังตลก/อาชญากรรม แสบๆ คันๆ เช่นเดิม ซึ่งทิ้งช่วงห่างจากเรื่องก่อนถึงสี่ปีเลยทีเดียวเชียว

     หนังออกแนวตลกร้ายซึ่งเป็นการเอาขนบของหนังแนวอาชญากรรมมากวนส้นเท้าเล่นอย่างแสบคันๆ (เอาแค่ฉากเปิดเรื่องที่จับเอาสองนักแสดงจากซี่รี่ส์แนวมาเฟียอย่าง Boardwalk Empire มายืนเถียงกันก็เล่นเอาฮาแล้ว) ทั้งด้วยบทสนทนาที่มีสีสัน สถานการณ์และตัวละครที่กวนและรั่วได้อีก ส่วนฉากบู๊ที่ถึงจะมีไม่เยอะ แต่ก็โหดและเด็ดขาดใช่เล่นนะ

     คนที่เด่นกว่าเพื่อนในหนังคือคุณตา Christopher Walken ที่ทั้งแก่และเก๋า ลื่นไหลทั้งบทดราม่าและเอาฮาแบบหน้าตาย นับเป็นเสน่ห์ของเรื่องเลยทีเดียว

     จะมีขัดตาอยู่บ้านก็ตรงเฮีย Colin Farrell ที่มาเล่นเป็นนักเขียนบทหนังขี้เมาสุดใจเสาะ ที่ดูยังไงเฮียแกก็ไม่เหมาะกับบทเอาเสียเลย (หรือว่าเราจะติดภาพสุดเก่งเก๋าของแกจนคุ้นชินแล้วหว่า?)

     คนที่เคยดู In Bruges มาก่อนย่อมจะเข้าใจว่าทางหนังน่าจะเป็นยังไง ซึ่งถ้าหากท่านชอบสไตล์แบบนั้นอยู่แล้ว หนังเรื่องนี้ก็คงจะถูกใจท่านไม่ยากเลย แต่ถ้าหากกะจะดูเอามันส์ ท่านมาผิดเรื่องแล้วจ้า





กวนได้โล่แบบนี้เอาไป 7/10 เลยจ้า





วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

Grabbers (2012): เมาปลิ้นพิชิตเอเลี่ยน




Grabbers (2012): เมาปลิ้นพิชิตเอเลี่ยน

     หนังสัตว์ประหลาดปนตลกจากไอร์แลนด์ที่แม้จะทุนไม่หนา ดาราไม่ดัง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นดีจนน่าประหลาดใจ

     หนังเล่าเรื่องของเกาะเล็กๆ ไกลปืนเที่ยงแห่งหนึ่งในไอร์แลนด์ที่ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวประมงอาศัยอยู่กันอย่างสงบสุข แต่แล้วก็มีสัตว์ประหลาดหน้าตาเหมือนปลาหมึกยักษ์จากนอกโลกบุกขึ้นเกาะกะจะดูดเลือดพวกเขาให้เกลี้ยง ทางเดียวที่พวกเขาจะป้องกันตนเองได้ก็คือพยายามเมาปลิ้นเพื่อให้เลือดตนเองเป็นพิษจนแม้แต่เอเลี่ยนก็ยังอี๋

     แม้จุดเริ่มต้นของหนังจะเหมือนหนังสัตว์ประหลาดกินคนอีกนับพันๆ เรื่อง แต่ผู้สร้างก็สามารถหาไอเดียกิ๊บเก๋ปนฮาอย่างการเมาแอ๋สู้เอเลี่ยนมาใช้ได้อย่างสร้างสรรค์ เราจึงได้เห็นบรรดาตัวละครหลักพากันเมาปลิ้นพิชิตเอเลี่ยนด้วยสภาพทุลักทุเลซะ ซึ่งก็ทำออกมาได้ขำอย่างพอเหมาะไม่ได้ออกมาน่ารำคาญแต่อย่างใด ส่วนงานด้านซีจีเอฟเฟกต์นั้นก็ออกมาดูดีเกินตัวสำหรับหนังเล็กๆ แบบนี้

     ด้วยเสน่ห์และอารมณ์ขันแบบไอริช ไอเดียฮาที่ไม่ซ้ำใครในระดับที่ไม่มากไม้น้อย ทำให้หนังเรื่องนี้แจ่มจนไม่ควรมองข้ามเลยเชียว




6/10 คะแนนครับ :)




วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

Beasts of the Southern Wild (2012): เด็ดเดี่ยวผู้น่ารัก




Beasts of the Southern Wild (2012): เด็ดเดี่ยวผู้น่ารัก

     หนังดราม่า/แฟนตาซีเล็กๆ เรื่องนี้ค่อยๆ สร้างความฮือฮาจากเวทีแจกรางวัลต่างๆ มากมาย จนล่าสุดหนังได้เข้าชิงสี่รางวัลใหญ่บนเวทีออสก้าร์อันได้แก่สาขาหนังยอดเยี่ยม ผกก.ยอดเยี่ยม บทยอดเยี่ยมและนำหญิงยอดเยี่ยม เท่านั้นยังไม่พอหนูน้อย Quvenzhané Wallis ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้เข้าชิงสาขานำหญิงที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ออสก้าร์เสียด้วย นั่นก็คือ 9 ขวบ (แต่ตอนถ่ายทำน้องเค้าอายุเพียง 6 ขวบเท่านั้นเอง ป๊าด!)

     หนังเล่าเรื่องของหนูน้อย Hushpuppy ที่อาศัยในเพิงหมาแหงนกับคุณพ่อขี้เมาแถมใจร้อนมือไวตีนไว บนเกาะซึ่งมีชุมชนเล็กๆ ที่มีความเป็นอยู่ยากจนในแถบหลุยเซียน่า ซึ่งแม้หนูน้อยจะมีอายุเพียงเท่านี้แต่เธอก็ต้องงานเข้าเมื่อเกิดพายุถล่มจนน้ำท่วมเกาะ เท่านั้นยังไม่พอ พ่อของเธอก็ดันป่วยหนักอาการร่อแร่ซะอีกนั่น

     ถึงนี่จะเป็นเพียงผลงานหนังยาวเรื่องแรกของ ผกก.Benh Zeitlin ที่ทุนก็น้อย นักแสดงก็สมัครเล่นกันทั้งนั้น แต่เขาก็สามารถรังสรรค์หนังออกมาได้อย่างน่าชื่นชม หนังเสนอภาพของชุมชนชาวมะกันรากหญ้าที่เจอพิษน้ำท่วมอย่างสมจริง (เพราะไปถ่ายทำที่โดนน้ำท่วมจริงๆ) ส่วนด้านดราม่าที่ถึงจะไปเรื่อยๆ แต่บทจะเศร้าก็เอาอยู่ รวมทั้งเสนอด้านเหนือจริงที่ทำให้หนังเรื่องนี้แตกต่างจากหนังดราม่าทั่วๆ ไป ซึ่งตรงส่วนนี้อาจทำให้หนังดูงงๆ ไปบ้างก็ตามที

     แต่ที่โดดเด่นที่สุด แน่นอนก็ต้องเป็นหนู Wallis ที่แสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ล้น ไม่ขาด และเอาอยู่กับหนังที่น้องเค้าต้องโผล่หน้ามาให้เห็นตลอดทั้งเรื่อง เก่งเกินอายุจริงๆ การได้เข้าชิงออสก้าร์นั้น ถึงแม้เธออาจจะไม่ได้เป็นผู้ชนะ (หรือชนะได้ก็ดี) ก็ยังถือว่าประสบความสำเร็จมากมายที่มาไกลถึงเพียงนี้แล้วล่ะ หนูเอ๋ย


ปล.ปธน.Barack Obama ยังปลื้มหนังเรื่องนี้เลย




หนังดราม่าดีๆ แนวเล็กๆ งงนิดๆ การแสดงน่าจดจำ แถมมีแง่คิดพกมาอีกต่างหาก ให้ไป 7/10 เลยครับ




วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

Kon-Tiki (2012): ลอยทะเลให้โลกหงายเงิบ




Kon-Tiki (2012): ลอยทะเลให้โลกหงายเงิบ

     หนังประวัติศาสตร์จากนอร์เวย์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ.1947 เมื่อ Thor Heyerdahl นักชาติพันธุ์วรรณา/นักสำรวจหนุ่มและพวกพ้องรวมหกคน ได้ตัดสินใจต่อแพแบบชาวอินคาโบราณเพื่อเดินทางข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกจากอเมริกาใต้ไปยังหมู่เกาะโพลินีเซียอันเป็นระยะทางกว่า 6,900 กิโลเมตรเพื่อพิสูจน์ทฤษฏีของเขาให้โลกได้ประจักษ์ว่าที่แท้จริงชาวโพลินีเชี่ยนไม่ได้มีบรรพบุรุษเป็นชาวเอเซียอย่างที่นักวิชาเกินส่วนใหญ่ในยุคนั้นเข้าใจกัน หากแต่เป็นชาวอินคาที่ล่องแพเดินทางอพยพมาจากทวีปอเมริกาใต้ต่างหากล่ะ

     หากดูหนัง Life of Pi แล้วมาดูเรื่องนี้ต่อมันช่างได้อารมณ์ต่อเนื่องกันจริงๆ เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นคล้ายๆ กัน ต่างกันก็ตรงที่เรื่องหนึ่งสร้างจากเรื่องจริง ส่วนอีกเรื่องสร้างจากเรื่องแต่ง เรื่องหนึ่งเป็นการสมัครใจไปผจญภัยในมหาสมุทร อีกเรื่องเป็นการผจญภัยแบบไฟท์บังคับไม่ไปไม่ได้ รวมถึงบรรดาเรื่องเหนือจิตนาการทั้งหลายด้วย

     ซึ่งแน่นอนเรื่องจริงจะไปสนุกตื่นเต้นเท่ากับเรื่องแต่งก็แปลกแล้ว ดังนั้นการผจญภัยของหนุ่มๆ ในเรื่องเลยไม่ค่อยมีอะไรพิศดารให้ต้องลุ้นนัก หนังเดินเรื่องเรื่อยๆ ทว่าก็ยังดูกันได้เพลินๆ ดีอยู่ เพราะผู้สร้างมุ่งเสนอความมุ่งมั่นของคนหนุ่มเหล่านี้ซะมากกว่า โดยเฉพาะพระเอกเราที่เป็นคนที่พยายามมองทุกอย่างในแง่บวกไว้เสมอ ซึ่งมันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาและพวกพ้องผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆ มาได้ในที่สุด

     รู้มาว่าเรื่องราวการเดินทางครั้งนี้เป็นความภาคภูมิใจของชาวนอร์เวย์ทั้งชาติ ตัวหนังเลยจัดเต็มทุ่มทุนสร้างสูงสุดในประวัติศาสตร์หนังนอร์เวย์ และก็กลายเป็นหนังที่กวาดเงินสูงสุดแห่งปีที่ผ่านมาด้วย เท่านั้นยังไม่พอยังได้เข้าชิงทั้งรางวัลลูกโลกทองคำและรางวัลออสก้าร์ในสาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยมอีกต่างหาก อ่า ก็ต้องลุ้นต่อไปว่าปีนี้หนังนอร์เวย์จะสามารถเอาแพมาเทียบขอบเวทีแจกรางวัลทั้งสองได้หรือไม่





เป็นหนังดีดูเพลินทะเลสวยที่ให้ความรู้ในทางประวัติศาสตร์ไปในตัวอีกด้วย จัดไปเลย 7/10 ครับผ้ม





Seeking a Friend for the End of the World (2012): สิ้นโลกอย่าสิ้นรัก



Seeking a Friend for the End of the World (2012): สิ้นโลกอย่าสิ้นรัก

     ปกติหนังอุกาบาตยักษ์ชนโลกจะเป็นหนังที่จริงจังเค้นอารมณ์ แต่หนังผลงานการกำกับ/เขียนบทของ Lorene Scafaria ที่เคยเขียนบทให้หนังรักวัยรุ่นเก๋ๆ อย่าง Nick and Norah's Infinite Playlist (2008) เรื่องนี้นั้น ขอหันไปเน้นด้านความรักแบบขำๆ เบาๆ ตามสไตล์โร้ดมูวี่ จึงนับว่าเป็นอะไรที่แปลกแตกต่างกว่าชาวบ้านอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

     ช่วงแรกๆ ของหนังนั้นยังออกมาก็แปร่งๆ แปลกๆ อยู่บ้าง เพราะถึงแม้จะพยายามทำให้หนังออกมาเบาหรือขำ แต่ประเด็นวันสิ้นโลกก็ยังเป็นอะไรที่ค่อนข้างซีเรียสขำไม่ค่อยออกอยู่ดี ส่วนการเดินทางผจญภัยร่วมกันของคู่พระนางก็ยังไม่ค่อยมีอะไรน่าประทับใจเป็นชิ้นเป็นอันเท่าที่ควร (ไม่โดนว่างั้นเหอะ)

     แต่ยังมีบางสิ่งในหนังเรื่องนี้ที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจได้ในที่สุด นั่นคือช่วงท้ายๆ เมื่อหนังเริ่มนิ่งขึ้น ดนตรีประกอบที่เลือกเอาเพลงเก่าๆ เพราะๆ มาใช้ได้อย่างส่งเสริมอารมณ์ และการเลือกเดินเรื่องที่ไม่เอาใจตลาดล้วนส่งผลให้การที่หนังดู "งั้นๆ" ในช่วงต้น กลับสามารถค่อยๆ ซึมลึกในอารมณ์ได้ในที่สุด

     หนังแนววันสิ้นโลกแบบนี้กี่เรื่องๆ ก็ย่อมแสดงให้เห็นความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ในการรับมือกับยถากรรมที่รออยู่ข้างหน้า ซึ่งบางคนก็ท้อแท้สิ้นหวัง บางคนก็แสดงความเกรี้ยวกราดออกมา บางคนก็หาที่หลบภัยเพราะหวังจะมีชีวิตอยู่ต่อไป บางคนก็ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสุดเหวี่ยงเพื่อตักตวงความสุขให้แก่ตน ในขณะที่บางคน สิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดคือการได้อยู่เคียงข้างคนที่ตนรักในวาระสุดท้ายของชีวิตหรือในวาระสุดท้ายของโลกก็ตามที คุณล่ะเลือกที่จะเป็นแบบไหนดี?

     หนังไม่ถึงกับโดดเด่นชิงรางวัลหรือจะชอบกันได้ทุกคน แต่เชื่อเถอะว่ามันมีอะไรให้ได้ตักตวงมากกว่าที่หน้าหนังเชิญชวนแน่นอน


ปล.ชอบ Steve Carell เล่นบทสไตล์ไม่บ้าบอแบบนี้จริงๆ



ไม่คิดจะชอบแต่ทำให้ชอบได้แบบนี้จัดไป 7/10 เลยครับ :)




วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

Magic Mike (2012): เขย่าตูดให้โลกตะลึง




Magic Mike (2012): เขย่าตูดให้โลกตะลึง

     หนังเรื่องนี้ฮือฮาขึ้นมาได้เพราะพ่อหนุ่ม Channing Tatum ออกมายอมรับว่าเคยเป็นหนุ่มระบำเปลื้องผ้ามาก่อนสมัยยังวัยรุ่น และได้นำเอาประสบการณ์ของเขามาใช้กับหนังดราม่า/ตลกที่ตีแผ่วงการหนุ่มล่ำแด๊นซ์สยิวของ ผกก.Steven Soderbergh เรื่องนี้

     ก็นับว่าเป็นอะไรที่แปลกแตกต่างพอสมควรเพราะเราๆ ท่านๆ คงจะคุ้นเคยกับหนังที่มีสาวๆ ระบำสยิวมากกว่า ซึ่งหนังก็เล่าเรื่องได้ดี ดูกันได้เพลินๆ ไม่ได้น่าเบื่อหรือดีใจหาย ส่วนไฮไลท์ของหนังอย่างฉากเต้นสยิวของหนุ่มๆ สุดล่ำนั้นก็คงจะสร้างความฮือฮาวึ้ดวิ้วแก่บรรดาสาวๆ หรือหนุ่มๆ (บางคน) กันได้อยู่แล้ว

     แต่จะว่าไปแล้วรู้สึกว่าหนังยังคงกระมิดกระเมี้ยนประนีประนอมอยู่ คือเล่าถึงวงการนี้แต่ก็แค่ผิวเผินไม่ได้เจาะลึกเท่าที่ควร อย่างการที่จริงๆ แล้วการแสดงมันน่าจะต้องถึงพริกถึงขิงกว่านี้ (จากที่เคยเห็นมาในอินเตอร์เน็ตนะ) หรือการไม่พูดถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นเกย์ซึ่งก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายหลักของอาชีพนี้ แต่เอาน่ะ นี่ไม่ใช่หนังให้กะดูเอาซีเรียส ได้แค่นี้ก็โอเคแล้ว

     ถ้าจะให้อธิบายถึงปฏิกิริยาโดยรวมของคนดู หญิง/ชาย ที่มีต่อหนังเรื่องนี้ก็คงเหมือนในฉาก ที่สองพระเอกแต่งตัวเป็นตำรวจไปเต้นเซอร์ไพรส์ให้สาวๆ ที่บ้านหลังหนึ่ง ซึ่งคนดูสาวๆ ก็คงจะว้ายกรี๊ดเหมือนในหนัง ขณะที่หนุ่มๆ ส่วนใหญ่ก็คงรู้สึกเหมือนหนุ่มๆ ในปาร์ตี้แห่งนั้นที่พากันยืนดูหงอยๆ ในอีกมุมหนึ่งพร้อมแอบหมั่นไส้สองพระเอกไปด้วยว่า เออ ก็กูไม่ล่ำไม่หล่อแบบเอ็งนี่หว่า ชิส!


ปล.ตอนนี้หนุ่ม Tatum กำลังวางแผนจะสร้างภาคสอง เราคงได้ยลตูดของเขาและพวกพ้องกันอีกในเร็วๆ นี้




หนังแบบนี้นานๆ จะมีมาให้ดูกัน แถมทำได้ดูกันเพลินๆ อีก ให้ไป 6/10 ครับ