วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

It Might Get Loud (2008): สนทนาภาษาร็อค


It Might Get Loud (2008) :

เห็นโปสเตอร์สารคดีเรื่องนี้ปุ๊บก็น่าจะเดาได้ไม่ยากเลยว่างานนี้เกี่ยวกับดนตรีแน่นอน ซึ่งถ้าหากท่านเป็นคอเพลงร็อคด้วยแล้วล่ะก็เป็นได้ซี้ดซ้าดกันด้วยความเสียวซ่านแน่ เพราะบนโปสเตอร์โชว์หราชื่อของสามเซียนกีต้าร์สามหนุ่มสามเจเรเนชั่นไล่ตั้งแต่ Jimmy Page (68 ขวบ) มือกีต้าร์สุดเทพของ Led Zeppelin วงร็อคในตำนานจากเกาะอังกฤษ, The Edge (51 ขวบ) มือกีต้าร์จอมเทคนิคของ U2 วงร็อคก้องโลกจากไอร์แลนด์ และหนุ่ม Jack White (37 ขวบ) แห่งวง The White Stripes และ The Raconteurs จากอเมริกา (โอ้ว!!!)

สามหนุ่มสามรุ่นมาแจมกีต้าร์กันจนมันส์หยดติ๋งๆ
สารคดีทำเก๋ในการจีบให้ทั้งสามมานั่งแลกเปลี่ยนทัศนคติทางดนตรีกันอย่างเปิดอกและเป็นกันเอง เพื่อพูดถึงรากเหง้าทางดนตรี ความลุ่มหลงในดนตรี เล่าถึงอดีตที่มาที่ไปของตนกว่าจะมาดัง และยังแลกเปลี่ยนเทคนิคสไตล์การเล่นของแต่ละคนแก่กัน ก่อนจะปิดท้ายด้วยการแจมเพลง "The Weight" ของ The Band กันอย่างม่วนซื่นโฮแซวทั้งคนเล่นคนดูอีกด้วย นับเป็นอะไรที่หาดูไม่ใช่ง่ายๆ เลยนะเนี่ย ขอบอก!! 


มาดยิ้มกริ่มของหนุ่ม Jack White ผู้มากความสามารถ
ผกก.Davis Guggenheim เจ้าของผลงานสารคดีรักษ์โลกเรื่องดังอย่าง An Inconvenient Truth (2006) พาเราก้าวเข้าสู่โลกของดนตรีร็อคโดยมีสามมือกีต้าร์ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาทำหน้าที่เป็นไกด์กิตติมศักดิ์นำเที่ยวย้อนรอยชีวิตในอดีตของแต่ละคน ตัดสลับกับการที่ทั้งสามมานั่งจับเข่าคุยกันสดๆ ในโรงถ่าย ซึ่งงานนี้ไม่มีคำว่าน่าเบื่อเจือปนอยู่แม้แต่นิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากท่านเป็นคอเพลง แฟนเพลงของพวกเขา หรือผู้รักการเล่นดนตรีด้วยแล้วล่ะก็ งานนี้ต้องปลื้มกันสุดๆ ไปเลยทีเดียว

น้า The Edge กับสำเนียงกีต้าร์ที่เท่อย่าบอกใคร
ส่วนการเลือกเอาทั้งสามมานั้นก็นับว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะนอกจากจะมากันคนละยุคสมัยแล้ว ทั้งสามยังต่างพื้นเพ ต่างสังคม ต่างวิถีชีวิตกันจนส่งผลต่อทางดนตรีของพวกเขาอีกด้วย อาทิ Jimmy Page ที่เคยเล่นเพลงป็อปสมัยวัยรุ่น และเคยเป็นมือกีต้าร์รับจ้าง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากเพลงสไตล์บลูส์ โฟล์คและแจ๊ซ ก่อนจะมาเป็น Led Zeppelin ในที่สุด, The Edge ที่ยากจนข้นแค้นจนต้องทำกีต้าร์ขึ้นมาเล่นเอง และได้รับอิทธิพลจากวงพั้งค์ในช่วงยุค 70 ซึ่งทำให้อยากตั้งวงมาปลดปล่อยกับเขาบ้าง, Jack White ที่ก็จนเหมือนกัน แต่ก็ลุ่มหลงในดนตรีมาตั้งแต่วัยรุ่น โดยเฉพาะดนตรีแนวบลูส์และการาจร็อค ในขณะที่วัยรุ่นยุคนั้นเขาฟังแต่เพลงเฮ้าส์และเพลงแด๊นซ์กระป๋องกัน

Jack White โชว์เทพในการประดิษฐ์กีต้าร์ไฟฟ้าจากเศษไม้และขวดโค้ก
อย่างที่บอกว่าถ้าหากท่านเป็นคอเพลง นักดนตรี หรือผู้ที่สนใจแล้วจะพบว่าสารคดีเรื่องนี้ช่างสุดยอดจริงๆ แต่ถ้าหากเป็นขาจรคนทั่วไปก็อาจจะไม่ค่อยอินและไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่นัก กระนั้นถึงจะเป็นสารคดีเกี่ยวกับดนตรีร็อคแบบเน้นๆ เช่นนี้ก็ยังอุตส่าห์มีข้อคิดมาฝาก อย่างเช่นการที่ทั้งสามมีทุกวันนี้ขึ้นมาได้ นอกจากพวกเขาจะมีฝีมือเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว (อันนี้แน่นอน) พวกเขายังมีความมุ่งมั่น ทุ่มเท และกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่าง เพื่อตามให้ทันความใฝ่ฝัน ซึ่งตรงนี้นี่แหล่ะที่ทำให้พวกเขามายืนอยู่ในจุดนี้ จุดที่พวกเขากลายเป็นตำนานและเป็นที่รักของแฟนเพลงทั่วโลกได้ในทุกวันนี้ 


  • + สารคดีเพื่อชาวร็อค คอเพลง นักดนตรี หรือผู้ที่สนใจ ดูไม่น่าเบื่อและเต็มไปด้วยความรู้ เจ๋งๆ
  • - สำหรับขาจรทั่วไปคงดูไม่น่าสนใจเท่าไหร่








*ของแถม*
เราเอาคลิปช่วงเอนด์เครดิตของสารคดีที่ทั้งสามมาร่วมร้องเล่น "The Weight" ของ The Band ได้อย่างน่าจดจำ มาฝากด้วยจ้า :D 







*รีวิวสารคดีสำหรับคนพันธุ์ร็อคเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*
  


วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

Resident Evil: Retribution (2012): เดอะซอมบี้ รียูเนี่ยน



 
Resident Evil: Retribution (2012) :
ส่วนใหญ่แล้วหนังที่สร้างจากวีดีโอเกมส์มักจะออกมาไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก ไม่เหมือนกับหนังที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนที่พักหลังๆ ล้วนประสบความสำเร็จกันเกือบถ้วนหน้า ซึ่งส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการเอาเกมส์ที่มีแต่การผจญภัยเป็นด่านๆ เน้นเอามันส์นั้นจะเอามาใส่เรื่องราวให้ออกมาเหมาะกับการเป็นหนังได้ยากกว่าหนังสือการ์ตูนที่มีเรื่องราวมีจักรวาลที่กว้างขวางและลุ่มลึกมากกว่า หนังจากเกมส์ส่วนใหญ่ก็เลยยังหาจุดสมดุลที่โดนใจทั้งคอเกมส์และคอหนังไม่ค่อยจะได้สักเท่าไหร่กันนัก

ถึงเมืองจะร้างพวกเธอก็ยังมั่น
แต่ดูเหมือนจะมีเพียงหนังจากเกมส์ลุยซอมบี้จากญี่ปุ่นชุดนี้นี่ล่ะที่ประสบความสำเร็จด้วยดีเสมอมา จนสามารถลากยาวกันมาจนถึงภาคที่ห้านี้แล้ว ถึงแม้ว่าตัวหนังเองจะไม่ได้ดีเด่ชนิดดูแล้วอ้าปากค้างจนแมลงวันบินเข้าปาก แต่ก็สามารถตอบโจทย์ความบันเทิงให้ทั้งกลุ่มแฟนเกมและคอหนังทั่วไปได้อย่างน่าพอใจในระดับหนึ่ง จนกลายเป็นแฟรนไชส์หากินประจำครอบครัวของ ผกก.Paul W.S. Anderson และศรีภรรเมียสุดที่เลิฟอย่าง Milla Jovovich เขาเลยล่ะ

สาวๆ จากภาคก่อนๆ กลับกันมาอย่างพร้อมเพรียง
มาภาคนี้ ผกก.Anderson ขอกลับมากุมบังเหียนอีกครั้ง ด้วยไอเดียเก๋ที่ขอเท่ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องโดยใช้ภาพสโลว์ย้อนหลัง และก็หาเรื่องให้ Alice ได้ไปพะบู๊กันอีกในบรรยากาศที่มีทั้ง นิวยอร์ค, โตเกียว, มอสโคว์ ฯลฯ ซะให้เถิดเทิงไปเลย ซึ่งงานนี้บอกกันตรงๆ เลยว่ามันก็ยังเดิมๆ แหล่ะครับท่าน แต่ที่น่าจะเป็นไอเดียเด็ดและเสน่ห์สำหรับภาคนี้คือการเพิ่มตัวละครจากเกมเข้ามาอีก และยังหาเรื่องแถให้ตัวละครเก่าๆ จากภาคแรกๆ ได้กลับมาหน้าสลอนกันอีกครั้งให้แฟนๆ หนังชุดนี้ได้หายคิดถึง (ยังมีใครคิดถึงอยู่ด้วยเหรอ? อิอิ)

พ่อหนุ่ม Leon ก็มากับเขาด้วย
แต่ที่ฮาได้ใจเราสุดๆ คือในฉากโตเกียว ที่สาว มิกะ นากาชิม่า นักร้องเจป็อปชื่อดังซึ่งเคยโผล่มาให้เห็นแว๊บๆ ในบทซอมบี้สาวจากภาคก่อน มีโอกาสได้วาดลวดลายมากขึ้นในคราวนี้ คือโผล่มาให้นางเอกได้กระทืบเตะก้านคอจนกลิ้งอยู่หลายตลบก่อนปิดท้ายด้วยถูกการเป่าขมองซะงั้น จนเป็นที่น่าเวทนาสำหรับบรรดาแฟนเพลงเป็นอย่างยิ่ง (โถ หนู มิกะ ของเฮีย) ส่วนอีกคนที่ทำเอาฮาเหมือนกันคือสาว Michelle Rodriguez เจ้าของฉายา "เจ๊ห้าวเล่นเรื่องไหนตายเรื่องนั้น" ซึ่งเรื่องนี้เจ๊แกก็ยังรักษาภาพพจน์ของตนไว้ได้เป็นอย่างดี (อิอิ) ทางด้านระบบภาพ 3D ของเรื่องก็ออกมางั้นๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย 

มิกะ นากาชิม่า ก็มาเดินหงอยให้นางเอกกระทืบเล่นกับเขาด้วย
ครั่บมาถึงตรงนี้คงต้องบอกว่า ถึงหนังจะไม่ได้ดีเด่ หรือแตกต่างอะไรจากภาคที่ผ่านๆ มา แต่ก็ยังรักษาเสน่ห์และมาตรฐานของตนไว้ได้เป็นอย่างดี เรียกว่ายังดูกันได้เพลินๆ ทั้งคอหนังทั่วไป และคอเกมส์ฮาร์ดคอร์ นี่เห็นช่วงท้ายของหนังนางเอกแพล่มให้ฟังว่า "นี่คือจุดเริ่มต้นของอวสาน" ก็เหมือนกับเป็นการประกาศว่าหนังชุดนี้กำลังจะปิดตัวลงในไม่ช้านี้แหล่ะ อ่า...หนังเหนียวอยู่ยงคงกระพันกันมาได้จนถึงห้าภาค (และกำลังจะมีภาคที่หกตามมาอีก) แล้วเนี่ย แค่นี้ก็ไม่ธรรมดาแล้วครับเจ๊ Alice... ข้าน้อยขอคารวะ

  • + ดูกันได้เพลินๆ ทั้งคอหนังและคอเกม มีตัวละครทั้งใหม่และเก่าจากภาคก่อนๆ กลับมาวาดลวดลายให้หายคิดถึงอีกครั้งซะด้วย
  • - เดิมๆ ไม่มีอะไรหวือหวาพิศดารกว่าภาคก่อนๆ ดูจบแล้วก็แล้วกันไป ระบบ 3D ค่อนข้างธรรมดา






*รีวิวหนัง Resident Evil ภาคอื่นๆ ภายในบล็อก*

Dredd 3D (2012): ตุลาการพันธุ์เบะ (ปาก)


Dredd 3D (2012) : 
จากหนังสือการ์ตูนในตำนานของอังกฤษที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1977 ซึ่งเคยถูกฮอลลีวู้ดที่นำโดยลุงสไล Sylvester Stallone เอาไปปู้ยี่ปู้ยำซะจนเละเทะขัดใจบรรดาแฟนการ์ตูนและส่งผลให้หนังคว่ำไม่เป็นท่าไปเมื่อปี ค.ศ.1995 ในที่สุดก็ถึงคราวที่เรื่องราวของตุลาการปืนโหดคนนี้จะถูกนำมาสร้างใหม่อีกครั้งหนึ่งซะที ซึ่งคราวนี้ผู้สร้างเขาขอรับประกันเลยว่าต้องถูกใจแฟนๆ ทั้งพันธุ์แท้พันธุ์ทางและพันธุ์หลังอานเป็นแน่เชียวนะขอบอก


ดูมาดก็รู้ว่าพี่แกซีเครียด
หนังได้สองหนุ่มมือดีอย่าง Alex Garland (เขียนบท) และ Pete Travis (กำกับ) มาร่วมกันรังสรรค์เรื่องราวสุดบู๊ระห่ำแตกของ Judge Dredd (Karl Urban) ตุลาการปากเบะแห่งโลกอนาคตที่มีอันต้องเข้าไปปะฉะดะกับขบวนการโจรโฉดที่นำโดยเจ้าแม่ยาเสพติดหน้าบาก (Lena Headey) ในตึกเสื่อมโทรมความสูงสองร้อยชั้น ซึ่งบอกได้เลยว่างานนี้ซัดกัน"เละ"ชนิดไม่เกรงใจคนทำความสะอาดที่ต้องคอยเก็บกวาดตามทีหลังแม้แต่นิด


ดูมาดก็รู้ว่าพวกเขาก็ซีเครียด
ถึงแม้ตัวละคร Judge Dredd จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสักเท่าไหร่ แถมหน้าหนังยังออกมาระดับกลางๆ เพราะเต็มไปด้วยดาราที่ไม่ค่อยดัง แต่สิ่งเหล่ากลับส่งผลดีที่ทำให้ผู้สร้างไม่ต้องมานั่งกดดันอะไรมากมายและสามารถใส่ความมันส์เข้ามาได้ชนิดสุดตีน คือหนังทั้งบู๊ทั้งดุทั้งโหดทั้งเถื่อน (ยิงหัวแบะกันเป็นว่าเล่น) ไม่มีแอ๊บโลกสวยเอาใจคุณหนูๆ แต่อย่างใด แถมยังค่อนข้างจะซื่อตรงกับต้นฉบับได้ใจแฟนๆ ชนิดที่ว่าแทบจะทำให้หนังเวอร์ชั่นลุงสไลกลายเป็นเด็กอนุบาลไปเลยทีเดียว  

ดูมาดก็รู้ว่าเจ๊แกซีเครียดยิ่งกว่า
ด้านนักแสดง พี่ Urban กับบทพระเอกที่ถึงงานนี้้ต้องใส่หมวกเห็นแต่ปากเบะๆ ตลอดเรื่อง ในบทที่แทบจะไม่ได้แสดงอารมณ์เลย แต่แกก็เล่นได้ดี ไม่ได้ดูทื่อจนไร้วิญญาณแต่อย่างใด ทว่าที่ได้ใจไปเลยคือหนู Olivia Thirlby ที่พาหน้าแบ๊วๆ มากวาดหัวใจหนุ่มๆ ไปครอง ในบทตุลาการมือใหม่คู่หูท่านเบะเขาล่ะ ในขณะที่งานสร้างด้านต่างๆ ออกมาดูดีมีเกรด ทั้งงานด้านภาพสวยๆ เท่ๆ และฉากเฉิกเสื้อผ้าหน้าผม เอฟเฟกต์ยิงกันเละ ที่ล้วนทำให้โลกอนาคตของหนังออกมาดูขึงขังจริงจังไม่ใช่น้อย

ปากพระเอกเราเบะได้ตลอดทั้งเรื่อง
หลายคนอาจจะบอกว่าหนังให้อารมณ์เหมือน Robocop (1987) ผสม The Raid (2011) ซึ่งจะว่างั้นก็ไม่ผิด แต่มันก็แค่ชวนให้นึกถึงนิดๆ เท่านั้นแหล่ะ เพราะหนังก็มีแนวทางของตนเองอย่างชัดเจน และทำออกมาได้ดีเกินโหงวเฮ้งซะ แม้ว่าจะยังไม่มีอะไรเด็ดๆ ใหม่ๆ มาฝากก็ตาม ได้ขนาดนี้ก็ต้องชื่นชมแล้ว นี่เห็นว่าผู้สร้างเตรียมเข็นเป็นหนังไตรภาคซะแล้ว แจ่มไปเลยจ้าท่านตุลาการปากเบะ 
  • + บู๊จริงจัง ถึงพริกถึงขิง ไม่บ้องแบ๊ว งานสร้างแจ่ม แฟนๆ หนังบู๊และหนังสือการ์ตูนถูกใจแน่นอน
  • - ยังชวนให้นึกถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ ไม่มีอะไรแปลกใหม่มาฝาก หลายคนอาจจะเห็นว่าหนังโหดเละเทะไปหน่อยมั้ยก็เป็นได้




*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

Intouchables (2011): คู่ซี้ต่างขั้ว




Intouchables (2011) :

หนังดราม่า/ตลกเล็กๆ ขายความอบอุ่นจากฝรั่งเศสเรื่องนี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพราะเดินสายกวาดเงินชนิดถล่มทลายในหลายๆ ประเทศที่เข้าฉาย จนกวาดเงินทั่วโลกไปได้กว่า 364 ล้านเหรียญสหรัฐ และครองตำแหน่งหนังที่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษที่ทำเงินสูงสุดในประวัติศาสตร์ เบียดแชมป์เก่าที่เคยกวาดเงินไปกว่า 274 ล้านเหรียญอย่าง Spirited Away (2001) ลงข้างทางไปเลยทีเดียว


มิตรภาพต่างสปีชีย์
หนังเสนอเรื่องราวมิตรภาพของสองหนุ่มต่างขั้ว เมื่อ Driss จิ๊กโก๋ผิวหมึกแต่จิตใจดีได้มีโอกาสทำงานเป็นคนดูแล Philippe เศรษฐีหนุ่มใหญ่ที่เป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงมาเนื่องจากประสบอุบัติเหตุ ซึ่งถึงแม้ทั้งคู่จะแตกต่างกันอย่างสุดขั้วแต่มิตรภาพของพวกเขากลับงอกงามจนเกิดเรื่องราวน่าประทับใจมากมายตามมา


เพื่อนที่ดีต้องชวนกันพี้กัญชาและเที่ยวหญิง
ต้องบอกก่อนเลยว่าพล็อตหนังแนวคู่ซี้ต่างขั้วโคตรจะธรรมดาแบบที่เราเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว แต่สอง ผกก.Olivier Nakache และ Éric Toledano กลับสามารถเขียนบทและทำหนังออกมาได้กลมกล่อมดูเพลินเอามากๆ หนังค่อนข้างมองโลกในแง่ดีแต่ก็ในแบบกำลังพอเหมาะ ไม่ได้พยายามประโลมโลกหรือออกมาชีช้ำชวนซีเครียดจนเกินไปแต่อย่างใด และที่เป็นเสน่ห์สำคัญของหนังคือสองพระเอกของเราที่เล่นเข้าขามีเสน่ห์มัดใจคนดูได้แบบสุดๆ ไปเลยโลด


ดนตรีประกอบเพราะวิวทิวทัศน์งดงาม
มาถึงตรงนี้คงต้องบอกว่าหนังเขาดีจริงครั่บ แม้จะไม่มีอะไรใหม่แต่ทำออกมาได้ถึง จนใครดูแล้วก็ต้องประทับใจเป็นธรรมดา และถ้าหากใครบางคนจะบอกว่ามิตรภาพต่างขั้วแบบนี้เห็นทีจะมีให้เห็นแต่ในหนังแค่นั้นแหล่ะ แต่ขอโทษ หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงนะครั่บ (แม้ตัวจริงจะไม่ใช่คนผิวดำก็เหอะ) ดังนั้นอย่าเพิ่งหมดหวังในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เรื่องราวดีๆ ในโลกนี้ยังมีอีกแยะ มันอยู่ที่เราว่าจะมองหามันเจอหรือเปล่าเท่านั้นแหล่ะ :D
  • + หนังฝรั่งเศสดีๆ ดูเพลิน น่าประทับใจจริงๆ นะขอบอก
  • - เรื่องราวเดิมๆ ธรรมดาแบบที่เคยเห็นจากหนังหลายๆ เรื่อง