วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Goon (2011): ศึกอันธพาลออนไอซ์


Goon (2011) :
ไปๆ มาๆ ดูเหมือนว่าบรรดาพลพรรค American Pie (หนังวัยรุ่นตลกสัปดนเรื่องดังช่วงปลายยุค 90) ในส่วนของทีมนักแสดงชายนั้นจะมีเพียงพ่อหนุ่ม Seann William Scott เท่านั้นที่ยังพอมีผลงานอันเป็นที่รู้จักในวงกว้างออกมาอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าหนังที่เขาเล่นส่วนใหญ่จะไม่ถึงกับฮิตตูมตาม (แถมชอบมาแบบเป็นตัวประกอบอีกต่างหาก) แต่ก็ยังถือได้ว่าเขารุ่งกว่าคนอื่นๆ ในทีมอยู่ดี


Sean William Scott กับหนังที่ดีที่สุดของเขาเรื่องหนึ่ง
และผลงานล่าสุดของเขานี้คือหนังตลก/กีฬาฮ็อกกี้ ที่ดัดแปลงมาจากเรื่องจริงอันเกี่ยวกับ Doug Glatt (William Scott) หนุ่มทึ่มนิสัยดีแต่หมัดหนักโคตรๆ ที่ทำงานเป็น รปภ.คุมบาร์ไปตามเรื่อง ซึ่งจับพลัดจับผลูได้กลายเป็นนักกีฬาฮ็อกกี้อาชีพทั้งๆ ที่เขานั้นเล่นสเก็ตน้ำแข็งแทบไม่เป็นด้วยซ้ำ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะหน้าที่หลักในทีมของเขาก็คือ เอิ่ม..อัดผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามให้ร่วงไปตามๆ กัน (ป๊าด!?)


นี่ฮ็อกกี้หรือศึกวันทรงชัยกันแน่หว่า?
ผกก.Michael Dowse (Take Me Home Tonight [2011]) ยังทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชมอีกครั้งในหนังตลกเรทอาร์ (ซึ่งในที่นี้คือหนังเต็มไปด้วยฉากชกต่อยเลือดกลบปาก) เขาเล่าเรื่องได้อย่างลื่นไหล มีเสน่ห์ ดูเพลินมากๆ มุกตลกในหนังก็ไม่ได้บ้าบอคอแตกหรือห่ามอะไรมากมาย หากแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของบรรดานักแสดงในเรื่อง โดยเฉพาะนาย William Scott เราที่เล่นได้อย่างน่ารักน่าชังในแบบที่ผู้ชมจะต้องเห็นอกเห็นใจและเปิดอ้อมใจรักเขาได้โดยไม่ยากเลยล่ะ ลิงก์


เต็มไปด้วยนักแสดงคุ้นหน้า
แต่สำหรับเราส่วนใหญ่ที่ไม่คุ้นเคยกับกีฬาชนิดนี้ก็คงจะไม่เข้าใจนักที่ในหนังแสดงให้เห็นว่าการชกต่อยกันหรือจงใจอัดกันแรงๆ ในเกมเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นได้เสมอ แถมคนดูยังพากันชื่นชมคนที่ชกเก่งๆ อีกต่างหาก ดังนั้นดูๆ ไปก็ราวกับว่านี่เป็นกีฬาที่ยกย่องเชิดชูอันธพาลที่ไม่มีน้ำใจนักกีฬาไปซะงั้น (อันนี้มองด้วยสายตาของคนที่ไม่คุ้นเคยกับกีฬาชนิดนี้อย่างเราส่วนใหญ่นะ) แต่ก็ยังดีที่สุดท้ายหนังก็ยังพูดถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในทีมและน้ำใจนักกีฬาได้อยู่


นาย Jay Baruchel เหมาหน้าที่เขียนบทเรื่องนี้ด้วย
นี่จึงเป็นหนังกีฬา/ตลกที่ออกมาดีกว่าที่คิด หนังมีให้ทั้งความสนุก ความน่ารัก หรือจะดูเอามันส์เอาลุ้นก็ยังได้อยู่ นับว่าเป็นหนังที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของนาย William Scott เลยก็ว่าได้ นี่เห็นว่าเขาและพลพรรค American Pie จะกลับมารียูเนี่ยนกันปีนี้ใน American Reunion ยังไงก็หวังว่าจะประสบความสำเร็จ รุ่งๆ กันทุกคน โดยเฉพาะนาย William Scott ที่กลายเป็นนักแสดงขวัญใจของเราไปอีกคนแล้วจากเรื่องนี้จ้า
  • + หนังดูเพลิน ดูดี สนุกกว่าที่คิด นาย William Scott ได้ใจเราไปเต็มๆ จากเรื่องนี้เลยจ้า
  • - หนังมีแต่เรื่องชกต่อย เลยดูเหมือนจะเป็นการยกย่องอันธพาลไปซะงั้น





*รีวิวหนังของ ผกก.Michael Dowse และพ่อหนุ่ม Seann William Scott เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

You Instead (2011): รักล็อคร็อค


You Instead (2011) :
บุพเพอาละวาดให้ Adam (Luke Treadaway) หนุ่มเท่แห่ง 'The Make' วงป็อปร็อคชื่อดังจากอเมริกา และสาว Morello (Natalia Tena) นักร้องนำวงอินดี้ร็อคสาวล้วนจากอังกฤษ 'The Dirty Pink’s' มาเจอะกันในงานเทศกาลดนตรีสุดฮิป 'T in the Park' ณ สก็อตแลนด์ ซึ่งจากแต่แรกที่พวกเขาไม่ค่อยจะชอบขี้หน้ากันนัก แต่แล้วก็ดันถูกใครที่ไหนไม่รู้โผล่มาจับทั้งคู่ใส่กุญแจมือให้ตีคู่อยู่ด้วยกันตลอดงาน และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นแห่งเรื่องราวความรักของหนุ่มสาวคู่นี้ท่ามกลางบรรยากาศร็อคแอนด์โรลอันแสนน่าประทับใจเด็กแนว (ไหนก็ไม่รู้) ยิ่งนักเออ


ระวังนกขี้ใส่หัวก็แล้วกัน
ผกก.ชาวอังกฤษ David Mackenzie (Young Adam [2003]) ขอพาท่านผู้ชมคนรักดนตรีเข้าสู่เทศกาล T in the Park โดยขอเสนอมุมมองผ่านสายตาของศิลปินนักดนตรีที่ต้องแสดงที่นั่น และแน่นอนที่ต้องมีให้เห็นตลอดคือบรรยากาศการแสดงของศิลปินดังๆ ที่คอเพลงฝั่งอังกฤษ (และอเมริกา) คงจะรู้จักกันดีไม่ว่าจะเป็น Paolo Nutini, Biffy Clyro, The Proclaimers, Calvin Harris, Paloma Faith, Al Green ฯลฯ (โอ้ว)


คู่นี้ร้องเล่นดนตรีได้เองจริงไม่มีใช้สลิง
หนังโดดเด่นตรงที่ถ่ายทอดบรรยากาศเทศกาลนี้ได้อย่างเข้าถึงทุกซอกทุกมุม เป็นธรรมชาติ ถูกใจคอเพลงนักเชียว เรียกว่าดูแล้วก็แทบอยากจะเหมารถสองแถวไปร่วมงานด้วยจริงๆ เชียว ส่วนสองนักแสดงนำ ที่ถึงไม่ได้เป็นนักดนตรีอาชีพ แต่ก็มีความสามารถเชิงดนตรี ดูเก๋ไก๋สไลเดอร์ไม่ใช่เล่น และเข้าคู่เข้าขากันได้ดี (แต่นางเอกสวยน้อยไปนิดนะ อิอิ) เสียแต่ว่าหนังเสนอเรื่องราวความรักของพวกเขาได้ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าที่ควร


เหมาะสำหรับคนที่ชอบไปดูเทศกาลดนตรีอย่างแรง
ดังนั้นเราจึงไม่สามารถคาดหวังกับเรื่องราวความรักของสองคนนี้ได้ ครั้นพอจะไปเน้นกันที่บรรยากาศการแสดงของศิลปิน ก็ไม่ค่อยมีให้ดูมากนัก คือมากันแบบแว๊บๆ และไอ้ที่โผล่มาเยอะหน่อยก็ไม่ค่อยจะดังซะอีก ถ้าจะเทียบเรื่องนี้ที่มีศิลปินมากมาย กับหนังแนวคล้ายๆ กันอย่าง This Movie is Broken (2010) ที่เน้นกันแค่วง Broken Social Scene วงเดียวแล้ว เรื่องหลังยังจะมีบรรยากาศการแสดงดนตรีให้ดูสะใจกว่าเยอะ แต่เอาน่า ถ้าท่านเป็นคอเพลงตัวยงแล้วล่ะก็ หนังเรื่องนี้ก็พอดูกันได้ดูกันดี หนังเปรียบเสมือนไกด์พาท่องเทศกาล T in the Park แบบคร่าวๆ เพลินๆ ดีแท้เชียว ทราบแล้วเปลี่ยนจ้า


สองคนนี้โผล่ไปแจมบนเวทีซะด้วย
  • + คอเพลงสากลฝั่งอังกฤษคงเป็นปลื้มกับหนัง เพราะพาท่องเทศกาลดนตรี T in the Park กันตลอดงาน
  • - พล็อตเรื่อง และการเล่าเรื่องงั้นๆ ไม่มีอะไร เพราะที่จริงเขาเน้นไปที่บรรยากาศของเทศกาลมากกว่า แต่พอจะดูการแสดงจริงๆ ก็มีมาแบบแว๊บๆ ไม่สะใจเลย





*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

หน้าเวทีเทศกาล T in the Park
T in the Park คือเทศกาลดนตรีใหญ่อีกงานแห่งสหราชอาณาจักร ซึ่งเริ่มจัดกันเมื่อปี 1994 โดยใช้ชื่องานตามสปอนเซอร์หลักคือเบียร์ยี่ห้อ Tennent ซึ่งเริ่มแรกจัดกันสองวันที่ Strathclyde Park ใน Lanarkshire ประเทศสก็อตแลนด์ แต่พอปี 1997 ก็ย้ายสถานที่มาจัดที่สนามบินที่เลิกใช้แล้วที่ Balado ใน Kinross-shire แทนที่เดิมซึ่งเล็กกว่าเยอะ และปัจจุบันได้เพิ่มระยะเวลาจัดงานเป็นสามวันแล้ว โดยนอกจะมีเวทีแสดงเจ็ดเวที ยังมีบูธสินค้า และเครื่องเล่นต่างๆ อีกมากมาย


บรรยากาศในเทศกาล
ส่วนบรรรดาศิลปินที่มาเล่นนอกจากจะเป็นวงดังๆ จากสหราชอาณาจักรแล้ว วงมะกันดังๆ ก็เคยผ่านเวทีนี้มาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Foo Fighter, Green Day, Red Hot Chili Peppers หรือแม้แต่เจ๊ Beyoncé ก็เคยมา เรียกได้ว่าถ้าใครไม่ดังจริง คงไม่มีโอกาสได้มาเหยียบเทศกาลดนตรีนี้แน่ ส่วนในปี 2012 นี้งานจะจัดในระหว่างวันที่ 6-8 ก.ค.โดยมีศิลปินดังๆ อย่าง The Stone Roses, Kasabian, Snow Patrol และอีกมากมายเป็นคันรถบรรทุกมาร่วมบรรเลงกันตลอดงาน ใครมีโอกาสได้ไปก็อย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังบ้างเด้อ :D


วีดีโอโปรโมทเทศกาลปี 2012 นี้

*คัดข้อมูลบางส่วนแบบผิดๆ ถูกๆ จาก wikipedia จ้า*


*รีวิวหนังที่เกี่ยวข้องเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*


วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

The Adventures of Tintin (2011): ตินติน เว้ยเฮ้ย!

The Adventures of Tintin (2011) :
ฉายา 'พ่อมดแห่งฮอลลีวู้ด' ที่เสี่ย Steven Spielberg ได้รับมานั้น ไม่ใช่จะได้มาแบบฟลุคๆ หรือจับสลากได้มา หากแต่เก็บได้ที่หน้าปากซอยต่างหาก ใช่ที่ไหน เป็นเพราะเสี่ยแกสามารถสร้างสรรค์หนังเรื่องแล้วเรื่องเล่าได้ออกมามีเสน่ห์ต้องตาต้องใจมหาชนคนดูหนัง ดั่งแกมีเวทย์มนตร์เสน่ห์ยาแฝดชวนให้หลงใหลได้ปลื้ม ไม่ว่าจะหนังแนวเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี หรือหนังแนวซีเรียสจริงซีเครียดจังชีวิตนี้ก็ล้วนประสบความสำเร็จด้วยดีแทบจะทั้งสิ้นตลอดระยะเวลากว่า 4 ทศวรรษที่แกคร่ำหวอดอยู่ในวงการ


Tintin มาแล้วจ้า
และนี่คือพรมแดนใหม่ที่เสี่ยขอก้าวเข้าไปร่ายมนตร์เซเล่อร์มูนด้วยอำนาจแห่งมนตราจงสำแดงนิทรา ณ บัดนี้ นั่นคือดินแดนหนังอนิเมชั่น แต่เสี่ยแกไม่ได้มาด้วยหนังเกี่ยวกับหมูมากาไก่ธรรมดาๆ ให้เสียเซลฟ์หรอกนะ เพราะแกเล่นของสูงโดยการจับเอาการ์ตูนคลาสสิคชุด The Adventures of Tintin มาขึ้นจอเงิน โดยได้ลูกคู่เป็นเสี่ยอีกคนอย่าง Peter Jackson คอยประสานงานลั้นลาอย่างใกล้ชิดตลอดงาน


นี่คืออินเดียน่า โจนส์สำหรับเด็กๆ
หนังใช้เทคนิคการถ่ายทำแบบ performance capture โดยได้นักแสดงดังๆ อย่าง Jamie Bell, Andy Serkis, Daniel Craig, Simon Pegg ฯลฯ มาวาดลวดลาย (และให้เสียง) ดังนั้นการเคลื่อนไหวของบรรดาตัวละครที่ออกมาจึงดูสมจริงสุดๆ (แต่หน้าตายังคงออกการ์ตูนเหมือนต้นฉบับอยู่) งานด้านภาพก็สวยงามดูดีมีชาติการ์ตูน ส่วนบรรยากาศกับลีลาท่าทางโดยรวมของหนังนั้นก็ไหลลื่นสนุกสนานเข้าท่า และแสนจะเป็นอะไรที่สปีลเบิ้ร์กสปีลเบิร์กซึ่งแฟนๆ คุ้นเคยกันดี


ภาพสวยงามสมจริงแต่หน้าตายังคงความเป็นการ์ตูนไว้บ้าง
บางคนอาจจะติว่าหนังพยายามสมจริงเกินไปจนขาดเสน่ห์ของความเป็นการ์ตูน ซึ่งถ้าจะคิดอีกแง่ ที่เดิมทีเสี่ย Spielberg เขาตั้งใจจะสร้างเป็นหนังใช้คนแสดงซะด้วยซ้ำไป แต่โดนเสี่ย Jackson หลอนให้ทำเป็นอนิเมชั่นแทน ดังนั้นออกมาเท่านี้ก็ถือว่าเป็นการพบกันครึ่งทางที่เข้าท่าระหว่างความสมจริงกับการ์ตูน สมความตั้งใจของเสี่ยที่อยากให้เรื่องนี้เปรียบเสมือน Indiana Jones เวอร์ชั่นสำหรับเด็กๆ แล้ว


แล้วใครเป็นคนรับบทน้องหมา Snowy ล่ะเนี่ย หุหุ
หนังอาจจะไม่เป็นที่น่าประทับใจเท่ากับหนังของ Pixar หรือสนุกโดนใจวัยมันส์เหมือนกับหนังของ Dream Works แต่มันมีที่มีทางมีเสน่ห์ในแบบของตัวเองซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นอย่างชาวบ้านเขา นี่เห็นทำเงินทั่วโลกไปสามร้อยกว่าล้านเหรียญแถมยังซิวรางวัลลูกโลกทองคำสาขาหนังอนิเมชั่นยอดเยี่ยมมาครองด้วย ป่านนี้ Georges Remi หรือ Hergé ผู้ให้กำเนิดการ์ตูนเรื่องนี้คงนั่งยิ้มกริ่มอยู่ที่ไหนสักแห่งบนสววรค์ และพึมพำกับตนเองว่า "เห็นมั้ยล่ะ บอกแล้วว่าต้องเป็นนาย Steven Spielberg คนเดียวเท่านั้นที่คู่ควรกับการพาการผจญภัยของ Tintin ขึ้นสู่จอเงิน" โอเคครับ งั้นขอโอกาสให้เสี่ย Peter Jackson ได้แสดงฝีมือการกำกับภาคสองที่จะออกฉายในอนาคตด้วยอีกคนก็แล้วกันเน้อ อิอิ
  • + อนิเมชั่น Tintin เวอร์ชั่นเสี่ย Steven Spielberg ที่ดูดี ดูเพลิน สนุกสนาน นักเชียว
  • - เรื่องราวการผจญภัยของ Tintin นั้น คงไม่เป็นที่ต้องตาต้องใจคนรุ่นใหม่ซึ่งชอบอะไรที่มันหวือหวากว่านั้นแล้วล่ะมั้ง





*รีวิวหนังของเสี่ย Steven Spielberg เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

The Grey (2012): หนีตายมัจจุราชเขี้ยวแหลม


The Grey (2012) :
ดูเหมือน ผกก.Joe Carnahan จะติดอกติดใจในการร่วมงานกับน้า Liam Neeson เข้าซะแล้ว หลังจากที่บู๊เถิดเทิงด้วยกันมาจาก The A-Team (2010) คราวนี้พวกเขาเกี่ยวก้อยลั้นลากันมาอีกครั้งในหนังผจญภัยหนีตายสุดระทึกท่ามกลางหิมะอันขาวโพลน อุณหภูมิอันหนาวเหน็บแต่แฝงไปด้วยภยันตรายนานับประการ


เมื่อคนกับหมาป่าต้องมาฉะกัน
John Ottway (น้า Neeson) มีหน้าที่คอยจัดการกับเหล่าหมาป่าที่ออกเพ่นพ่านคุกคามชีวิตบรรดาพนักงานบริษัทขุดเจาะน้ำมันที่ อลาสก้า และในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางกลับบ้านโดยเครื่องบินก็ดันเกิดอุบัติเหตุเครื่องตกที่ไหนก็ไม่รู้ ซึ่งยังดีที่มีคนรอดชีวิตมาได้จำนวนหนึ่ง แต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความหายนะครั้งนี้เท่านั้น เพราะพวกเขายังต้องเผชิญกับอุหภูมิติดลบอันหนาวเหน็บและฝูงหมาป่ากระหายเลือดที่คอยวนเวียนรอขย้ำคอพวกเขาอยู่ ซึ่งพระเอกเราและพวกพ้องก็ต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดจากนรกเยือกแข็งแห่งนั้นกลับไปพบครอบครัวของตนอีกครั้งให้จงได้


งานนี้เล่นเอาน้า Liam ถึงกับต้องนั่งกุมขมับ
ผกก.Carnahan เขาเก่งอยู่แล้วในการทำหนังโม้แหลกให้ออกมาดูจริงจังสุดระทึก และสำหรับเรื่องนี้ก็เช่นกัน ที่มาพร้อมด้วยบรรยากาศจริงจัง ไม่มีเล่นหัว แม้จะเป็นเรื่องราวการเอาชีวิตรอดท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรกับภูมิอากาศสุดหฤโหดอย่างที่เราเคยเห็นมานักต่อนักแล้ว แต่หนังก็ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวสุดระทึกมากมายมากำนัล โดยเฉพาะฝูงหมาป่าที่เป็นตัวร้ายประจำเรื่อง ที่ก็ออกมาร้ายกาจ น่าเกรงขามโคตรๆ (เก่งกล้าเกินหมาป่าไปนิด) ส่วนน้า Liam ก็สามารถพาอารมณ์ดราม่ามาขับเคลื่อนเรื่องราวแอ็คชั่นลุ้นฉี่เหนียวในหนังได้ดีอย่างที่แกถนัดอยู่แล้ว


เห็นแต่หิมะขาวโพลนกันทั้งเรื่อง
ทว่าสิ่งที่อาจจะแบ่งคนดูออกเป็นสองฝั่งอย่างเห็นได้ชัด ระหว่างชอบไม่ก็เกลียดไปเลยก็คือตอนจบของหนังที่เป็นปลายเปิด ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร ถ้าในเทรลเล่อร์ไม่ดันสร้างความคาดหวังล่วงหน้าให้แก่คนดูไว้ซะเยอะสุดๆ แล้ว (ดูจบแล้วประมาณ "อะไรวะ เอางี้เลยเหรอ?!") และการกระทำของพวกพระเอกที่ชวนให้ขัดใจในหลายๆ จุด (อย่างเช่นการที่พวกพระเอกไม่ยอมหาอาวุธพกติดตัวทั้งๆ ที่รู้ว่ามีฝูงหมาป่าตามขย้ำอยู่) แต่โดยรวมแล้วก็นี่ก็ยังเป็นหนังที่ชวนระทึกอยู่ดี ซึ่งจะชอบหรือไม่นั้นก็แล้วแต่บุคคลไปว่าจะซื้อกับฉากจบแบบนี้หรือไม่

ทีนะที่ยังก่อไฟให้หายหนาวได้บ้าง
เห็นเรื่องราวในหนังแล้วก็นึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นมาทันใด นั่นก็คือ "Only the strongest will survive" อันเป็นกฏแห่งความอยู่รอดของธรรมชาติที่เราคุ้นเคยกันดี ซึ่งกฏนี้ไม่ได้จำกัดตนเองไว้แค่ในป่าเท่านั้น ในสังคมเมืองทุกวันนี้ก็ยังใช้กฏนี้อยู่เช่นเดียวกัน แต่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงแค่ความแข็งแกร่งทางกายภาพเพียงเท่านั้น แต่ยังหมายถึงอำนาจ สติปัญญา รูปโฉม ฐานะ ฯลฯ อีกด้วย ดังนั้นอย่าได้แปลกใจเลยว่าทำไมคนเราถึงได้แสวงหาสิ่งเหล่านี้กันนัก ส่วนหนึ่งนั่นก็เพราะสัญชาติญาณแห่งความอยู่รอดนั่นเอง...
  • + หนังแนวหนีตายสุดระทึก ที่ทำออกมาได้มีลุ้น จริงจัง
  • - จบแบบชวนเหวอ มีหลายจุดที่ชวนให้คนคิดมากหงุดหงิด





*รีวิวหนังของน้า Liam Neeson เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*