วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

The Karate Kid (2010): ไอ้หนูกังฟู(สู้เพื่อหมวย)


The Karate Kid (2010) :
หลังจากหนูน้อย Jaden Smith ถูกป๊ะป๋ากระเตงไปแสดงด้วยใน The Pursuit of Happyness (2006) จนคอหนังเริ่มเห็นแวว ว่าแล้ว Will Smith และ Jada Pinkett Smith ก็ขอทำหน้าที่เป็นป๋าดัน เป็นโปรดิวซ์เซอร์หนังให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตนได้เป็นพระเอกเต็มตัวกับเขาซะเลย ในหนังที่รีเมคจากหนังฮิตชื่อเดียวกันเมื่อปี 1984 ที่อยู่ในดวงใจของใครหลายคนที่โตมากับยุค 80 นั่นเอง


หนูน้อย Smith หล่นตุ๊บไม่ไกลต้นเลย
แต่แทนที่จะเดินตามเวอร์ชั่นต้นฉบับแบบเป๊ะๆ เวอร์ชั่นใหม่นี้ขอปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆ อย่าง เช่นการลดอายุพระเอกให้อยู่ในชั้นประถมแทนที่จะเป็นมัธยม และที่สำคัญคือหันไปจับเอาศิลปะป้องกันตัวอย่าง 'กังฟู' มาใช้แทนที่ 'คาราเต้' ตามกระแสนิยมไปซะงั้น (ไม่รู้ว่าด้วยความที่กลัวคนจะไม่รู้ว่าเป็นหนังรีเมคเลยขอดันทุรังใช้ชื่อ Karate Kid เหมือนเดิมหรือเปล่า?) โดยบุกไปถ่ายทำถึงถิ่นกังฟูอย่างประเทศจีนอีกด้วย


เปลี่ยนจากคาราเต้ มาเป็น กังฟู ซะงั้น
เนื้อเรื่องก็เป็นลักษณะพิมพ์นิยมของหนังแนวนี้ เมื่อ Dre Parker (Smith) ต้องย้ายตามแม่จาก ดีทรอยต์ ไปอยู่ที่ ปักกิ่ง ประเทศจีน แรกๆ อะไรก็ดูโอเคเมื่อเขาไปปิ๊งปั๊งสาวหมวย(หน้าแก่)แถวบ้าน แต่พอโดนก๊วนเด็กโข่งจิ๊กโก๋เจ้าถิ่นมากลั่นแกล้งหนักๆ เข้า พระเอกน้อยเราก็ชักเริ่มไม่โอเคซะแล้วสิ ดีนะที่ช่างซ่อมประจำอพาร์ทเม้นท์ที่เขาพักอยู่เป็น เฉินหลง เอ๊ยเป็นกังฟู งานนี้ก็เลยทำให้เขาได้มีโอกาสฝึกกังฟู ที่นอกจากจะได้ทำให้สาวประทับใจแล้ว ยังได้เรียกศักดิ์ศรีคืนให้แก่ตนเอง และได้เรียนรู้ปรัชญาที่ว่า 'ทุกสิ่งทุกอย่างคือกังฟู' อีกด้วย โอ้ว ยิงทีเดียวได้นกสามตัวเลยนะเนี่ย


ตัวเท่านี้ริอ่านเดทกับสาวซะแล้วพ่อคุ๊ณณ
Harald Zwart (Agent Cody Banks [2003]) เขาถนัดทำหนังสำหรับวัยรุ่นตอนต้นอยู่แล้ว งานนี้ก็เลยมาแบบสบายๆ ยิ่งมีต้นฉบับให้เป็นแนวทางแบบลางๆ ให้ด้วย ก็เลยไปได้เรื่อยๆ ของแกล่ะ แต่ดูเหมือนหนังความยาว 140 นาทีมันจะยาวไปสักหน่อยนะ นี่ถ้ากระชับพื้นที่หนังให้สั้นกว่านี้สักหน่อยจะแหล่มมากเลย ยังดีหน่อยที่หนูน้อย Smith ที่เป็นศูนย์กลางของเรื่อง เล่นได้อย่างมีเสน่ห์ ถอดแบบพ่อมาเป๊ะๆ ทั้งฉากที่ต้องทำตลก ฉากดราม่าน้ำตาไหลพราก ฉากบู๊เตะยอดหน้า น้องเขาสอบผ่านเลยล่ะ ในขณะที่คุณลุง เฉินหลง ในบททั่นอาจารย์ ฮาน ก็มาแบบ แปะแก่ๆ นิ่งๆ ไม่ค่อยมีโอกาสได้เอาฮากับเขาหรอก แต่ออกแนวตลกหน้าตายซะมากกว่าจะตลกท่าทางในแบบของเขาที่เราคุ้นเคยกันดี

ถ้าอยากเก่งกังฟูไวๆ ก็ต้องไปฝึกกันบนกำแพงเมืองจีนโลด
ถึงหนังจะมาพร้อมกับสูตรสำเร็จที่ขนาดว่ายังไม่ได้ดูก็เดาเรื่องได้แล้ว เรื่องราวก็ธรรมดาไปหน่อย และช่วงท้ายของหนังก็ไม่สามารถพาอารมณ์ขึ้นไปสูงสุดเท่ากับเวอร์ชั่นเก่า แต่ก็ถือว่ายังดูได้เพลินๆ ได้อยู่ วิวประเทศจีนก็สวยดี มีแง่คิดปรัชญาอันล้ำลึกประมาณ 'หากล้มลงก็จงลุกขึ้นมาใหม่จนกว่าจะเป็นราชสีห์'(เฮ้ย ผิดเรื่องแล้ว!)แถมมาให้ด้วย เด็กๆ ในวัยประถมถึง ม.ต้น น่าจะชอบกัน(และคงจะมีหลายคนอยากจะเรียนกังฟูล่ะทีนี้) ส่วนผู้มีวัยวุฒิ(แก่)เยี่ยงเราๆ ท่านๆ ทั้งหลาย ถ้าไม่ยึดติดกับเวอร์ชั่นต้นฉบับ และไม่ตะขิดตะขวงใจกับชื่อเรื่องที่คนละเรื่องกับเนื้อหาเลย ถ้ามีโอกาสก็ดูเอาเถิดจ่ะ มันไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหรอก อ่อ เห็นในอเมริกาทำเงินไปร้อยกว่าล้านแบบนี้แล้ว ดูท่าว่าคงจะมีภาคต่อออกมาให้ดูกันซะแล้วกระมังงานนี้ เหอๆ
  • น่าดูเพราะ: หนังเหมาะสำหรับเด็กประถมถึง ม.ต้น และใครอยากเห็นหนูน้อย Jaden Smith ในบทพระเอกเต็มตัวก็เชิญเลยจ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: เต็มไปด้วยสูตรสำเร็จอันซ้ำซาก หนังยาวไปหน่อย แฟนๆ เวอร์ชั่นต้นฉบับมาดูแล้วอาจมีเซ็ง




*ช่วงย้อนรอยหนังต้นฉบับ*

อาจารย์กับศิษย์ขณะหัดเซิ้ง
ใครที่เกิดทันยุค 80 จะรู้จักเรื่องนี้กันเป็นอย่างดี เพราะฮิตซะถึงขนาดที่ว่าทำให้วัยรุ่นแห่กันไปเรียนคาราเต้ และสาวๆ ก็จะหาซื้อรูปของพระเอก Ralph Macchio มาแปะฝาบ้านกันให้ควั่ก กับผลงานของ ผกก.John G. Avildsen อันว่าด้วยเรื่องของหนุ่ม Daniel LaRusso (Macchio) ที่ย้ายตามแม่จาก นิวเจอร์ซี่ มายัง แอลเอ ซึ่งพอย้ายเข้าโรงเรียนเขาก็ไปปิ๊งสาวฮอตประจำโรงเรียนเข้า ก็เลยไปเข้าตาจิ๊กโก๋ประจำโรงเรียน ซึ่งเป็นคาราเต้กันซะด้วย งานนี้พระเอกเราเลยอ่วม ว่าแล้วทั่นอาจารย์ มิยากิ (Pat Morita) ที่เป็นคนดูแลอพาร์ทเม้นท์เลยต้องยื่นมือเข้ามาช่วย โดยสอนคาราเต้ให้พระเอกไปทวงศักดิ์ศรี(ทวงสาว?)คืนมาจนได้


เทรลเลอร์หนังภาคแรก(เชยดีจัง)
หนังภาคแรกทำเงินไปกว่า 90 ล้านเหรียญ ซึ่งก็ถือว่าทำเงินถล่มในสมัยนั้น จนต้องเข็นภาคสองออกมาอีกในปี 1986 ซึ่งก็ฮิตระเบิดทำเงินได้เยอะกว่าภาคแรกซะอีก (115 ล้านในอเมริกาและ 245 ล้านทั่วโลก) แต่พอภาคสามที่ออกฉายปี 1989 กลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง (38 ล้านในอเมริกา) เล่นเอาพระเอก Ralph Macchio ไปต่อไม่เป็นเลย (แล้วเขาก็ค่อยๆ หายไปในที่สุด)


หนังอุตส่าห์แถสร้างกันต่อออกมาอีกสามภาคแน่ะ
แต่ดูเหมือนผู้สร้างจะยังไม่เข็ด โดยเข็นภาค 4 ออกมาในปี 1994 โดยคราวนี้เปลี่ยนตัวเอกเป็นผู้หญิงบ้าง (รับบทโดยเจ๊ Hilary Swank สมัยยังเอ๊าะ) ซึ่งผลที่ออกมาก็คือเจ๊งระเบิดระเบ้อไปในที่สุด จนถือว่าเป็นการตอกตะปูปิดฝาโลงแฟรนไชส์คาราเต้คิด กระทั่งวันดีคืนดีจู่ๆ ก็มีการสร้างเวอร์ชั่นรีเมคนี้ขึ้นมาตามกระแสนิยมรีเมคหนังยุค 80 ของฮอลลีวู้ดช่วงนี้ ซึ่งก็ทำเงินไปตามฟอร์ม เราก็ต้องคอยดูกันต่อไปว่าแฟรนไชส์คาราเต้คิดเวอร์ชั่น 2.0 จะอยู่ยงคงกระพันไปได้ถึงขนาดไหนกันล่ะจ้า


ที่มาของการสร้าง Karate Kid ฉบับปี 2010
และเราก็มีเพลงจากหนังมาฝากกันเช่นเดิม โดยเรื่องนี้มีเพลงคุ้นหูวัยจ๊าบบรรจุอยู่มากกมาย แต่เราขอเลือกเอามาฝากสักสองเพลงก็แล้วกัน ซึ่งก็คือเพลงของ John Mayer ที่เปิดในช่วงเดินทางไปจีนในช่วงต้นเรื่องและเพลงโปรโมทของหนังโดย Justin Bieber (ที่ได้ Jaden Smith มาร่วมแจมด้วย)ที่อยู่ในช่วงเอนด์เครดิต ว่าแล้วก็ไปฟังกันเลยจ้า

MP3: John Mayer - Say

MP3: Justin Bieber - Never Say Never (feat. Jaden Smith)


*ของแถม*
ใครที่นึกสงสัยว่าพระเอกเวอร์ชั่นต้นฉบับอย่าง Ralph Macchio (ปัจจุบันอายุ 48 ขวบ) จะเป็นยังไงบ้างในตอนนี้ และเขามีความเห็นอย่างไรกับการรีเมคหนังที่เคยส่งให้เขาโด่งดังเมื่อช่วงกลางยุค 80 ขึ้นมา เราก็มีหนังสั้นขำๆ ที่เกี่ยวกับการที่เขาพยายามออกมาวาดลวดลายทุกอย่างเพื่อจะกลับมาดังอีกครั้ง มาให้ดูให้หายคิดถึงกันจ้า



วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Summer Wars (2009): ครอบครัวกู้โลก


Summer Wars (2009) :
ถ้าจะเอ่ยถึงสตูดิโอ Madhouse คออนิเมะคงจะรู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดี เพราะตลอดเกือบ 40 ปีมานี้ทางสตูดิโอก็ได้สร้างสรรค์ผลงานดีมีคุณภาพออกมาให้แฟนๆ ซูฮกโดยตลอด จนแทบจะเรียกได้ว่าในแวดวงอนิเมะแล้ว พวกเขามีชื่อเสียงน้อยกว่าสตูดิโอ Ghibli อยู่นิดหน่อยเอง


หนังมีลายเส้นงดงามและน่าทึ่ง
แถมนี่ยังเป็นผลงานล่าสุดของ ผกก.มาโมรุ โฮโซดะ เจ้าของผลงานอนิเมะสุดจี๊ดที่ทำเอาคออนิเมะติดอกติดใจกันมาแล้วอย่าง The Girl Who Leapt Through Time (2006) นั่นเอง โดยคราวนี้มากับเรื่องราวของหนุ่มน้อย เคนจิ นักเรียนชั้น ม.5 ที่เก่งคำนวณโคตรๆ แต่ก็อ่อนซ้อมเรื่องจีบสาวๆ แบบสุดๆ แล้วในช่วงสุดสัปดาห์เขาก็ดันได้ติดสอยห้อยตามสาว นัทซึกิ รุ่นพี่ที่เป็นดาวประจำโรงเรียน ไปช่วยงานวันเกิดคุณยายของเธอที่อยู่ ตจว. ซึ่งพอไปถึงเขาก็ต้องอึ้งเพราะสาวเจ้าดันประกาศแก่ทุกคนในครอบครัวว่าเขาน่ะแหล่ะแฟนของเธอ ฮ่วย!(พี่รู้นะน้อง ว่าแอบดีใจ เหอๆ)

นี่คือหน้าตาของตัวละครในโลกไซเบอร์
เท่านั้นยังไม่พอ ด้วยความเมาขี้ตาของเขาทำให้เผลอถอดรหัสให้แฮคเกอร์นิรนามเจาะเข้าไปป่วนใน OZ ซึ่งเป็นโลกไซเบอร์ยอดนิยมของคนทั่วโลกได้สำเร็จ จนก่อให้เกิดความวุ่นวายใหญ่หลวงไปทั่ว งานนี้นอกจากพ่อหนุ่ม เคนจิ เราจะเจอเรื่องวุ่นวายในชีวิตจริงแล้ว ยังต้องว้าวุ่นกันยกกำลังสองในโลกไซเบอร์ โดยมีโชคชะตาของคนทั้งโลกเป็นเดิมพันเชียวนะเนี่ย(ป๊าด!)

หนังเต็มไปด้วยตัวการ์ตูนน่ารักๆ
และแล้วสตูดิโอนี้ก็ไม่ทำให้แฟนๆ ต้องผิดหวัง เพราะงานสร้างออกมายอดเยี่ยม สวยงาม มีเสน่ห์และเต็มไปด้วยรายละเอียดตามมาตรฐานอันดีเลิศของสตูดิโออยู่แล้ว ทั้งนี้ยังสามารถนำคอมพิวเตอร์มาสร้างงานด้านภาพในฉากที่เกี่ยวกับโลกไซเบอร์ได้อย่างน่าดูมากๆ อีกด้วย ในขณะที่การเล่าเรื่องของ ผกก.โฮโซดะ ก็ยังไหลลื่น น่าประทับใจ ดูเพลินและน่าติดตามดีมาก แม้จะไม่มีอะไรเกินคาด หรือจี๊ดได้อย่างผลงานเรื่องก่อนของเขาก็ตามที

ฉากต่อสู้ในโลกไซเบอร์ก็มีให้ดู
สิ่งที่น่าชื่นชมอีกอย่างหนึ่งของอนิเมะญี่ปุ่นก็คือสามารถผสมผสานเรื่องราวชีวิตของชาวบ้านปกติธรรมดาทั่วๆไป เข้ากับเรื่องราวแนวไซไฟสุดล้ำได้อย่างเนียนๆ ซึ่งสำหรับประเด็นในอนิเมะเรื่องนี้ก็คงจะไม่พ้นของ 'ความเป็นครอบครัว' ที่คนในครอบครัวไม่ควรจะทอดทิ้งกันไป แม้ว่าเราอาจจะเจอเรื่องแย่ๆ ร้ายๆ ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่อย่างน้อยเราก็ยังรู้ว่า เมื่อเราหิว ก็ยังสามารถนั่งลงกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างเราเสมอ เพราะไม่มีอะไรจะแย่ไปกว่าการที่หิวโซแล้วยังต้องอยู่สู้ชีวิตตามลำพังอีกแล้วล่ะเนอะ แหม่... อนิเมะจากสตูดิโอนี้เขามีสาระมาฝากอีกแล้วครับทั่น!


นางเอกและบรรดาวงศาคณาญาติของเธอ
  • น่าดูเพราะ: เป็นอนิเมะที่ ลายเส้นงดงาม ดูเพลิน ดูสนุก ให้แง่คิดอีกต่างหาก คออนิเมะไม่ควรพลาด
  • ไม่น่าดูเพราะ: ไม่มีอะไรเกินคาด ขาดอะไรที่ดูแล้ว 'โอ้โห' และถ้าชอบอนิเมะแนวบู๊ระเบิดดาวล่ะบอกผ่านได้เลย

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Hot Tub Time Machine (2010): เจาะเวลาไปลงอ่าง


Hot Tub Time Machine (2010) :
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่มากับกระแสหนังถวิลหายุค 80 ของฮอลลีวู้ดเขา โดยเล่นกับไอเดียคล้ายๆ หนังแนวเจาะเวลาหาอดีตอย่าง Back to the Future (1985) ที่พวกพระเอกต้องมีอันได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต(อันไม่นานโข)โดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็ต้องเจอเรื่องวุ่นๆ มากมายจนอาจส่งผลต่ออนาคตของพวกเขาไปในที่สุด


นี่คือหน้าตาของ เอิ่ม...ไทม์ แมชชีน ของเรื่องนี้
ผลงานของ ผกก.Steve Pink (Accepted [2006]) เรื่องนี้ ขอออกไปแนวตลกสัปดนเรทอาร์คล้ายๆ Hang Over เวอร์ชั่นตลุยยุค 80 ซะมากกว่า เมื่อหันไปดูผลงานที่ผ่านมาของสามผู้เขียนบท ก็จะพบว่าทั้งสามเคยมีเครดิตจากหนังแนวๆ นี้อย่าง She's Out of My League (2010) และ Sex Drive (2008) ซึ่งก็น่าจะทำให้พอเดาทางหนังกันได้บ้างแล้วล่ะเนอะ


หนังเล่นกับมุกความเชยของคนยุคนั้นเต็มที่
แต่ที่มาแปลกกว่าเพื่อนก็คือ พระเอก John Cusack (2012 [2009]) เพราะเท่าที่นึกออกแล้ว เฮียเขาก็ไม่เคยเล่นหนังในลักษณะนี้มาก่อน แต่ถึงกระนั้นเฮียก็ไม่ได้เล่นมุกสัปดนให้ต้องต้องเสื่อมเสียภาพพจน์อะไร(ค่อยยังชั่วหน่อย) เพราะคนที่รับหน้าที่ตัวอุบาทว์ประจำเรื่องไปเต็มๆ ก็คือนายหัวเหม่ง Rob Corddry (The Heartbreak Kid [2007]) จนดูๆ ไปแล้วเหมือนกับว่าพี่เหม่งแกออกจะเด่นเกินหน้าเกินตาคนอื่นไปพอสมควรเลยทีเดียว


ดาวตลกรุ่นเก๋า Chevy Chase โผล่มาร่วมแจมในบทรับเชิญ
ถึงหนังจะมีแต่มุกสัปดนชวนแหว่ะ เต้ายานๆ ของสาวๆ เนื้อเรื่องที่เล่นง่ายไปหน่อย และไร้ความสมเหตุสมผลที่มาที่ไป แต่ก็ยังมีดีตรงการเล่นมุกเกี่ยวกับยุคสมัย ชนิดที่คนที่เกิดทันยุคนั้นคงจะยิ้มออกกันได้บ้าง ในขณะที่การมีเหล่าตัวละครนำที่มีเสน่ห์พอสมควรเช่นนี้ ก็สามารถทำให้หนังดูเพลินขึ้นมาได้อีกเยอะเลยเชียว


พระเอก John Cusack ในหนังตลกสัปดนเรทอาร์?!
พอนึกถึง Back to the Future ที่พาคนดูย้อนจากกลางยุค 80 ไปกลางยุค 50 แล้วก็เล่นมุกเกี่ยวกับยุคสมัย ให้คนสมัยใหม่ได้มองความเชยของคนสมัยเก่าอย่างสนุกสนาน ในขณะที่หนังเรื่องนี้ก็พาคนดูยุค 2010 ย้อนอดีตไปกลางยุค 80 แล้วก็ชวนให้คิดว่า วันนี้อะไรที่เราคิดว่าทันสมัยสุดๆ ในอีกสิบยี่สิบปี เมื่อคนรุ่นหลังมองย้อนมาก็จะคิดว่า 'โหยทำไมคนรุ่นพ่อแม่เราเชยแบบนั้นเนี่ย เทรนด์เกาหลงเกาหลีอะไรนั่นน่ะ แต่งไปได้ไง๊' อืม หนังเรื่องนี้คงจะสอนว่า 'สิ่งที่ทันสมัยในวันนี้คือสิ่งที่ตกยุคในวันหน้า' ว่างั้นเหอะ เหอๆ

สี่หนุ่มสุดหล่อของเรา
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังตลกสัปดนเรทอาร์ที่บวกอารมณ์ถวิลหายุค 80 ที่ทำได้ดูเพลินๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก คนที่เกิดทันยุคนั้นคงจะถูกใจกันแน่
  • ไม่น่าดูเพราะ: ใครไม่ชอบดูหนังที่เอามุกเกี่ยวกับ อ้วก ฉี่ อสุจิ มาเล่นก็พึงหลีกเลี่ยงจ้า



*ช่วงเพลงในหนัง*

วง Mötley Crüe กับสไตล์การแต่งตัวแบบวงร็อคยุค 80
ด้วยเพราะเป็นหนังที่เล่นกับยุคสมัย 80 เราเลยจะได้ยินเพลงดังๆ จากยุคนั้นเพียบ ไม่ว่าจะเป็นเพลงของ INXS, Spandau Ballet, New Order, Scritti Politti เป็นอาทิ แต่ที่ฮาได้ใจที่สุดคือการเอา MV เพลง Home Sweet Home ของวงร็อคแฮร์แบนด์แบดบอยอย่าง Mötley Crüe มาล้อเลียนแบบฮาๆ ในช่วงเอนด์ เครดิต ว่าแล้วก็มาฟังกันดีกว่าว่าคนยุค 80 เขาชอบฟังเพลงยังไงกันเล๊ย


วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

The A-Team (2010): ทีมพิฆาตเว่อร์ระห่ำ


The A-Team (2010) :
ช่วงนี้ฮอลลีวู้ดกำลังนิยมอะไรที่มาจากยุค 80 เราเลยจะได้เห็นทั้ง หนังสยอง หนังแอ็คชั่น หรือแม้แต่หนังทีวีดังๆ จากยุคนั้นถูกจับมาสร้างใหม่กันให้รึ่ม และนี่ก็คือหนังที่สร้างจากซีรี่ย์ยอดฮิตที่เคยออกอากาศช่วงปี 83-87 ซึ่งถ้าใครเกิดทันก็คงจะเคยผ่านตาและจำเพลงธีมของตัวซีรี่ย์กันได้บ้างแหล่ะ(เหมือนจะจำได้ลางๆ ว่าช่องสามเคยเอามาฉายตอนช่วงดึกๆ นะ)


ใครไม่เคยเห็นการเผายืนยางก็จะได้เห็นกันล่ะ
พอได้เห็นหน้าหนัง ทีมงาน แล้วหลายคนคงจะแอบลุ้นว่าคงจะออกมาสนุกกว่า The Losers ที่ออกมาฉายตัดหน้าไปแน่ๆ เพราะได้ ผกก.Joe Carnahan ที่เคยทำหนังแอ็คชั่นสุดแจ่มอย่าง Smokin' Aces (2006)และ Narc (2002) มารับผิดชอบทั้งกำกับและร่วมเขียนบท รวมทั้งเหล่าดาราที่มารับบทก๊วน The A-Team แต่ละคนก็ล้วนแต่มีชื่อเสียงดีหนึ่งประเภทหนึ่งกันทั้งนั้น


เจอหุ่นล่ำๆ เข้าให้ สาว Jessica Biel ก็ต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา
ซึ่งพอได้ดูแล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ถึงแม้เรื่องราวจะเดิมๆ ประเภทพวกพระเอกเก่ง พวกพระเอกถูกใส่ร้าย พวกพระเอกเอาคืน รวมทั้งการหักมุมที่ไม่ยากเกินคาดเดา แต่ ผกก.Carnahan ก็ทำออกมาเป็นหนังแอ็คชั่นที่ดูเพลินเอามากๆ ไม่ว่าจะฉากแอ็คชั่นที่แจ่มและเว่อร์ได้ใจ หรืออารมณ์ขันฮาๆ จากทั้งฝ่ายตัวเอกและตัวร้าย ยิ่งมาเจอก๊วนพระเอกทั้งสี่คนที่มีแคแรคเตอร์ประจำตัวอันมีเสน่ห์เอามากๆ เข้าไปอีก งานนี้เลยถือว่าหนังพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ห่างไกลจากคำว่า'เสียของ'ไปอย่างสบายๆ

ดูเหมือนเรื่องนี้พี่ Bradley Cooper จะมากวาดความนิยมจากสาวๆ โดยเฉพาะ
แต่ด้วยการที่อัดฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ ไม่ยั้งมาตั้งแต่แรกๆ (และก็มีเกือบตลอดทั้งเรื่อง) เลยอาจจะรู้สึกว่าฉากแอ็คชั่นช่วงท้ายดูจะไม่สะใจโก๋เท่าที่ควร รวมทั้งความเก่งเว่อร์ได้ใจของพวกพระเอกที่คนซีเรียสทั้งหลายอาจจะรับไม่ได้ แต่ก็เอาน่า นี่เป็นหนังแอ็คชั่นประจำซัมเมอร์ที่ทำได้ถึงครบเครื่องเรื่องบันเทิงมากๆ เรื่องหนึ่ง แฟนๆ ซีรี่ย์ยุคโน้นดูแล้วคงปลื้ม รวมทั้งเด็กรุ่นหลังคงดูสนุกได้แน่ เราไม่ได้มีปัญหากับหนังที่ทำออกมาเว่อร์ๆ แต่ถ้าจะเว่อร์ทั้งทีก็ต้องทำให้มันถึงแบบหนังเรื่องนี่สิจ้ะ

ปล.อ่อ แต่ก็แอบห่วงอยู่นิดๆ ว่าถ้าเกิดหนังฮิต มีภาคต่อ แล้วจะมีอะไรเหลือให้เล่นอีกเนี่ย ก็ภาคแรกเล่นอัดอะไรเด็ดๆ มาซะขนาดนี้แล้ว เหอๆ


หนังเรื่องนี้สอนว่าก่อนจะบู๊ก็ควรจะวางแผนซะก่อน
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแอ็คชั่นประจำซัมเมอร์ที่เว่อร์ได้ใจ แต่ก็แอ็คชั่นกันได้สนุกดูเพลินสุดๆ แฟนซีรี่ย์คงจะปลื้มที่ได้เห็นมันบนจออีกครั้ง
  • ไม่น่าดูเพราะ: เว่อร์ไปหน่อย และไม่มีอะไรเกินคาดเดา หรือที่เรียกว่า เดิมๆ จนบางคนอาจจะมองว่าเป็นหนังที่ตื้นเขินไปซะงั้น


*ช่วงย้อนรอยหนังต้นฉบับ*

The A-Team ยุคทีวี
สำหรับต้นฉบับของหนังคือหนังซีรี่ย์อายุ 5 ฤดูกาล(มีทั้งหมด 98 ตอน)ที่ออกอากาศช่วงปี 1983-1987 ทางช่อง NBC โดยเป็นเรื่องราวของทหารหน่วยรบพิเศษของกองทัพบกสหรัฐ (The A-Team เรียกย่อๆ มาจาก Alpha Team) 4 นายที่โดนใส่ร้ายจนกลายเป็นอาชญากรสงคราม โดนทางการไล่ล่า แต่พวกเขาหาได้หนีหัวซุกหัวซุนไม่ หากได้ผันตัวเองกลายเป็นทีมทหารรับจ้างที่คอยช่วยเหลือคนดีรังแกคนชั่ว
ด้วยการที่มีตัวละครเอกที่ล้วนแต่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เลยได้ใจคนดูฮิตเถิดเทิงกันไป หลายคนคงจะเคยได้ยินเพลงธีมประจำซีรี่ย์ผ่านหูกันไปบ้าง แต่อาจจะลืมไปแล้วดังนั้นเราเลยมีมาฝากกันเพื่อเป็นการรื้อฟื้นอารมณ์ถวิลหา ฟังเสร็จแล้วก็ตามไปถวิลหากันต่อในโรงเลยเน้อ ^^


MP3: Mike Post and Pete Carpenter - The A-Team (theme)


*ของแถม*

The A-Team เวอร์ชั่นฮ็อบบิท