วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

Warriors of the Rainbow: Seediq Bale (2011): ศึกคนเถื่อนกู้แผ่นดิน




Warriors of the Rainbow: Seediq Bale (2011) :

นี่คือภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่แห่งไต้หวันประเทศที่ได้ชื่อว่าใช้ทุนสร้างสูงที่สุดในประวัติศาสตร์หนังไต้หวัน คือประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตัวหนังเองก็ออกมาประสบความสำเร็จอย่างงามงดงามงด กวาดทั้งเงิน (30 ล้านเหรียญ) กวาดทั้งกล่อง ถึงขั้นได้ไปเฉิดฉายที่เทศกาลหนังเวนิส แถมยังได้เข้ารอบ 9 เรื่องสุดท้ายของรางวัลออสก้าร์สาขาหนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมปีล่าสุดอีกด้วย

Braveheart เวอร์ชั่นไต้หวันมาแล้วจ้า
หนังเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของไต้หวัน สมัยครั้งยังถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นยึดครองเป็นอาณานิคม ในปี ค.ศ.1930 เมื่อชนพื้นเมืองของไต้หวันที่นำโดย Mona Rudao ทนการถูกข่มเหงที่เกิดขึ้นในมาตุภูมิของตนไม่ไหวอีกต่อไป จึงได้ลุกขึ้นมานำกำลัง "ชาวป่า" ที่มีจำนวนพลเพียง 300 คนของเขาลุกขึ้นขับไล่ฆ่าฟันทหารญี่ปุ่นจำนวนนับพัน จนเป็นที่เล่าขานเลื่องลือถึงวีรกรรมอันกล้าหาญมาจนทุกวันนี้


จะชาติไหนพี่ยุ่นก็เที่ยวไปข่มเหงเขาไปทั่ว
ผกก.เหว่ย เต-เฉิง (Cape No.7 [2008]) ขอคิดการใหญ่ในการนำเรื่องราวประวัติศาสตร์อันน่าภาคภูมิใจของชาวไต้หวันมาขึ้นจอเงิน โดยแบ่งหนังออกมาเป็นสองภาค ซึ่งมีความยาวรวมกันกว่า 4 ชั่วโมงครึ่ง (ป๊าด!) แถมทำเก๋ให้ตัวละครพูดภาษาพื้นเมือง รวมทั้งภาษาญี่ปุ่นทั้งเรื่อง ชนิดที่ว่าแม้แต่คนไต้หวันยังต้องนั่งอ่านซับเอา ส่วนเรื่องความอลังการก็จัดเต็มชนิดที่ดูก็รู้ว่าหนังเรื่องนี้มีองค์ แถมฉากการรบก็ยิ่งใหญ่ปนดุเดือดเลือดพล่านซะตัดหัวกันเป็นว่าเล่น ให้อารมณ์ประมาณเดียวกับหนังอย่าง Braveheart (1995), Apocalypto (2006) หรือ The Last of the Mohicans (1992) ก็มิปาน

ลิงก์
ฉากรบดุเดือดเลือดพล่านดีแท้
ทราบมาว่าเรื่องราวของ Mona Rudao มีการนำมาเล่าอย่างแพร่หลายในไต้หวัน ทั้งในคราบของละคร ไปยันหนังสือการ์ตูน แต่ในเวอร์ชั่นนี้ ผกก.เขาก็พยายามค้นคว้ามาอย่างเต็มที่ เพื่อพยายามสร้างหนังให้ออกมาสมจริงที่สุด ซึ่งอันนี้ก็น่าชื่นชมยิ่งนัก แต่ยังไงหนังก็ไม่วายโปรความเป็นวีรบุรุษของ Rudao สุดๆ อยู่ดี อีกทั้งเสนอภาพของพวกญี่ปุ่นซะอย่างกับตัวอิจฉาในละครไทยก็มิปาน และสำหรับคนที่ดูเวอร์ชั่นเต็มที่มีสองภาคจะพบว่า ภาคแรกทำได้ดีกว่า ในขณะที่ภาคสองตอนท้ายๆ ช่างชวนสับสนอยู่บ้างในหลายๆ อย่าง

ดูแล้วไม่รู้จะสมน้ำหน้าหรือสงสารญี่ปุ่นดี
อีกอย่างที่อาจทำให้ไม่ได้ใจคนดูนัก คือการกระทำของพวกพระเอก ซึ่งโหดซะขนาดที่ว่าสังหารทั้งเด็กและสตรีชาวญี่ปุ่นเรียบจนดูเป็นคนป่ากระหายเลือดไปเลย แถมยังมีมุมมองเกี่ยวกับความตายที่ชวนตะหงิดๆ สำหรับคนไทยอย่างเราๆ ท่านๆ ไม่น้อย แต่ก็นะวิธีคิดและวัฒนธรรมของเรากับพวกเขามันต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นตอนดูต้องปล่อยใจให้ว่างนิดนึง จะได้ดูหนังได้ตลอดรอดฝั่งฝัน

วิวทิวทัศน์งดงามดูดีมีชาติการ์ตูน
ใครที่ชอบดูหนังสงครามทางประวัติศาสตร์ล่ะก็คงจะถูกใจกันไม่ยาก เพราะในแง่ความบู๊เขาจัดเต็มจริงๆ ในขณะที่ด้านอื่นๆ ก็ยังมีดีไม่น้อย แม้จะค่อนข้างจะเข้าข้างตนเองไปหน่อยเหอะ (แหม ก็เป็นธรรมดาแหล่ะเนอะ) หนังแสดงให้เห็นอีกครั้งว่า ถึงสงครามจะเป็นเรื่องเลวร้าย ไปจนถึงขั้นดูเหมือนไร้สาระ แต่บางทีมันก็จำต้องเกิดขึ้น เพราะไม่ว่าจะชาติไหนๆ ต่างก็ต้องมีการหลั่งเลือดการพลีชีพของบรรพบุรุษเพื่อที่จะมีแผ่นดินให้ลูกหลานอยู่ต่อไปในอนาคต
  • + อลังการงานสร้างโดยเฉพาะฉากรบอันแสนดุเดือด พยายามสมจริงสมจังเต็มที่ และให้ความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์
  • - ยาวโคตร กว่าจะดูจบเล่นเอาเหนื่อย ภาคสองดูสับสนไปบ้าง และหนังโปรตนเองไปป่าวจ้ะ






*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

หน้าตาของ Mona Rudao ตัวจริง (คนกลาง)
เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะเรา) ไม่ค่อยรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ชาติไต้หวันมากนัก (แต่ถ้าเป็น จีน, ญี่ปุ่น และเกาหลี เนี่ยคล่องเชียว อิอิ) โดยเฉพาะศึก Wushe ที่หนังนำมาเสนอนี้ ซึ่งมีความสำคัญสำหรับชาวไต้หวันมากๆ ประมาณ 'ศึกบางระจัน' ของพี่ไทยเราก็มิปาน ทางบล็อกจึงขอนำข้อมูลย่อๆ ของเหตุการณ์นี้มาแบ่งปันดังนี้


ภาพเขต Wushe ที่เกิดเหตุการณ์นองเลือด
ตั้งแต่ญี่ปุ่นเข้าไปปกครองไต้หวันตั้งแต่ปี ค.ศ.1895 ก็เกิดเหตุการลุกฮือต่อต้านจากชาวพื้นเมืองครั้งแล้วครั้งเล่าเสมอมา แต่ครั้งที่เด็ดดวงที่สุดคงไม่พ้นครั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 ต.ค.1930 เมื่อชาว Seediq ชนชาวพื้นเมืองของไต้หวันโดยการนำของ Moba Rudao ได้ใช้โอกาสที่ชาวญี่ปุ่นจัดให้มีการแข่งกีฬาของเด็กนักเรียนประถมขึ้นมา เขาได้รวบรวมนักรบกว่า 300 คน บุกทำลายสถานีตำรวจเพื่อยึดอาวุธพร้อมกระสุน และยกพวกไปที่โรงเรียนแล้วสังหารโหดชาวญี่ปุ่นไปกว่า 134 ศพ รวมทั้งผู้หญิงและเด็กก็ไม่เว้น (ป๊าด!)


สภาพที่เกิดเหตุที่ดูก็รู้ว่างานนี้ 'นองเลือด'
เมื่อฝ่ายญี่ปุ่นทราบเรื่องจึงส่งกำลังทหารจำนวนกว่า 2,000 นายมาปราบปรามทันที ทางฝ่ายชาว Seediq ก็ถอยร่นเข้าไปในภูเขาแล้วใช้วีธีรบแบบกองโจรคอยตอดเล็กตอดน้อยในเวลากลางคืนจนเล่นเอาทหารญี่ปุ่นเสียกระบวนไปไม่น้อย จึงได้ขอให้เครื่องบินเอาแก๊สน้ำตามาทิ้ง ซึ่งถือเป็นการใช้อาวุธเคมีครั้งแรกในเอเซียเลยก็ว่าได้ และหลังจากต้านทานได้กว่าสามสัปดาห์ Mona Rudao จึงตัดสินใจปลีกวิเวกไปยิงตัวตายในที่สุด เพื่อป้องกันการโดนจับไปทำให้เสียเกียรติ


ชาว Seediq ที่ถูกทหารญี่ปุ่นจับตัวได้
ต่อมาฝ่ายทหารญี่ปุ่นก็สามารถกำหราบผู้ลุกฮือได้ ซึ่งมีชาว Seediq เสียชีวิตไปกว่า 644 ศพ และฆ่าตัวตายไป 290 ศพ เพราะไม่อยากเสื่อมเสียเกียรติ ถึงแม้หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้จะยังมีการลุกฮือขึ้นมาอีกเป็นพักๆ แต่ก็ไม่มีครั้งไหนรุนแรงเท่า และค่อยๆ ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ก่อนจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านสิทธิของชาวพื้นเมือง กระทั่งญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไต้หวันได้รับเอกราชเสียที ในปี ค.ศ.1945


อนุสรณ์ของ Moba Rudao
ด้านศพของ Mona Rudao นั้นกว่าจะมีคนไปพบอยู่บนเขาก็กว่าอีก 3 ปีให้หลัง และถูกนำไปแสดงที่ Taihoku Imperial University เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่คนรุ่นหลัง จนกระทั่งปี ค.ศ.1974 จึงได้ถูกนำไปฝังอย่างถูกต้องตามประเพณีในแถบบ้านเกิดของเขา ทุกวันนี้ชาวไต้หวันมองเขาเป็นวีรบุรุษของชาติ ถึงขั้นมีรูปของเขาบนเหรียญเงินไต้หวัน มีการเล่าเรื่องราวของเขาแก่คนรุ่นหลังผ่านทางหนังสือ ละคร หนังสือการ์ตูน จนล่าสุดก็คือภาพยนตร์เรื่องนี้นั่นเอง


*คัดข้อมูลแบบย่อๆ มาจาก wikipedia จ้า ผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยเน้อ*


วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555

Chronicle (2012): สามเกรียนพลังเหนือเมฆ




Chronicle (2012) :

หนังแนว 'เรื่องจริงผ่านจอกำมะลอ' ยุคหลัง Paranormal Activity (2007) เนี่ย เรื่องไหนเรื่องนั้นเลย ล้วนทำเงินทำทองเป็นกอบเป็นกำแก่ผู้สร้างแทบจะทั้งนั้น เพราะหนังแนวนี้ใช้ทุนสร้างน้อย ไม่ต้องพึ่งดาราดัง แต่เน้นขายมุกขายไอเดียเรียลลิตี้สุดตื่นเต้นกันเข้าว่า ซึ่งก็มีมาหมดแล้วทั้งแนวผีๆ สางๆ สัตว์ประหลาดบุกกรุง ซอมบี้บุกตึก และคราวนี้ก็มาถึงคิวของ 'มนุษย์พลังจิตเกรียนแตก' บ้างล่ะ


หนังแนวเรื่องจริงผ่านจอกำมะลอมาอีกเรื่องแล้วครับทั่น
หนังเสนอเรื่องราวของเหล่าวัยรุ่น ม.ปลาย 3 หน่อ ที่บังเอิญไปได้รับพลังจิตเหนือโลกมาจากวัตถุลึกลับเข้า ซึ่งจากแรกๆ ที่พวกเขาก็แค่เล่นเกรียนแกล้งชาวบ้านไปตามเรื่อง แต่พอพลังจิตของพวกเขาเริ่มแก่กล้าขึ้นมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งสำแดงตัวตนที่แท้จริงอันสุดแสนอันตรายของพวกเขาออกมามากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน อืม...งานงอกล่ะสิทีนี้


สามเกรียนประจำเรื่อง
คู่หู Josh Trank และ Max Landis (ลูกชายของ ผกก.เคยดัง John Landis) ร่วมกันสร้างสรรค์อย่างสุดแจ่มในการจับเรื่องราวสไตล์ยอดมนุษย์ในแง่ที่ไม่การ์ตูนจ๋ามาเล่น (โดยให้ Trank เป็นคนกำกับ) หนังเล่าเรื่องได้กระชับฉับไว ดูเพลินไม่มีเบื่อ และถึงหนังจะทุนน้อย เบี้ยน้อย แต่ด้านเทคนิคเอฟเฟกต์ฉากเหนือมนุษย์อะไรต่างๆ เนี่ย ก็ทำออกมาได้ดูเข้าท่าโดดเด่นดีไม่ใช่น้อย จนสามารถส่งเสริมความเจ๋งความตื่นเต้นให้กับตัวหนังได้อีกบานตะไทเชียวล่ะ

อำนาจทำให้คนเราเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา
หนังหาทางออกได้ดีในการหามุมกล้องที่ไม่จำกัดตัวเองกับกล้องตัวเดียวทั้งเรื่อง คือใช้มุมมองจากทั้งกล้องมือถือ กล้องวงจรปิด กล้องนักข่าว ฯลฯ แต่ว่าก็ว่าเหอะ ในยุคที่หนังแนวเรื่องจริงผ่านจอเริ่มออกมาเยอะจนเฝือแบบนี้ บางคน (โดยเฉพาะเรา) คงชักเริ่มจะไม่ค่อยหือค่อยอือหรือตื่นเต้นไปกับมันสักเท่าไหร่แล้วล่ะ (เริ่มด้านชาว่างั้นเหอะ) อันที่จริงถ้าหนังเองจะไม่เสนอตัวเองสไตล์เรื่องจริงผ่านจอ แต่ทำเป็นหนังปกติไปเลยก็ยังดูสนุกได้อยู่นะ ขอบอก

รถเมล์สายอะไรนั่นวิ่งบนฟ้าได้ด้วย
จะว่าไปแล้วถ้าหากคนเรามีพลังเหมือนในหนังจริงๆ คงมีน้อยรายที่เลือกจะผันตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่เพื่อคอยปกป้องชาวโลก แต่คงจะเอาไปใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นแน่แท้ ดังนั้นนอกจากหนังเรื่องนี้จะดูเอาสนุกแล้ว ยังถือเป็นหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่ที่มองโลกในแง่สมจริงที่สุดเรื่องหนึ่งแล้วก็ได้มั้ง นี่เห็นหนังฮิตซะปานนั้น ผู้สร้างเลยกำลังเตรียมเข็นภาคสองออกมาอีก ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปล่ะว่าจะสามารถเป็นแฟรนไชส์ฮิตแบบ Paranormal Activity ได้หรือไม่
  • + ไอเดียเข้าท่า เอฟเฟกต์เข้าที ดูสนุกไม่น้อยหน้าหนังทุนสูงๆ เลย
  • - ไม่ต้องทำเป็นแนวเรื่องจริงผ่านจอก็ยังได้ คนที่เบื่อแนวนี้อยู่แล้วคงจะเฉยๆ กัน และยังไม่มีอะไรที่โดดเด่นจนต้องซูฮก




*รีวิวหนังแนว 'เรื่องจริงผ่านจอกำมะลอ' เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจภายในบล็อก*


วันพฤหัสบดีที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2555

The Cabin in the Woods (2012): ป่าสยอง เหวอได้อีก




The Cabin in the Woods (2012) :

หลังจากที่เป็นที่รู้จักในฐานะผู้สร้างหนังทีวีฮิตๆ และมือเกลาบทหนังดังๆ มาช้านาน ถึงชั่วโมงนี้ชื่อเสียงเรียงนามของ Joss Whedon กำลังเริ่มเป็นที่ผงาดง้ำค้ำฮอลลีวู้ดและถูกจับตามองจากคอหนังทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการที่เขาควบหน้าที่เป็น ผกก./มือเขียนบทให้หนังรวมมิตรซูเปอร์ฮีโร่ของ Marvel อย่าง The Avengers ที่กำลังจะฉายอยู่รอมร่อแล้ว รวมทั้งสร้างสรรค์หนังสยองไอเดียกระฉูดเรื่องนี้อีกด้วย


ท่าน Thor ต้องมาปะทะซอมบี้ล่ะงานนี้
อันที่จริงหนังถูกสร้างเสร็จมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2009 แล้ว แต่เผอิญตอนนั้นสตูดิโอ MGM เจ้าของหนังดันล้มละลายเจ๊งบ๊งเสียก่อน หนังก็เลยต้องถูกดองเปรี้ยวดองเค็มอยู่นาน จนถูกขายมาอยู่ในมือของสตูดิโอ Lion Gate ผู้นิยมจำหน่ายหนังสยองขวัญนั่นแหล่ะ หนังถึงได้ฤกษ์ออกจากโหลดองมาพบกับท่านผู้ชมในที่สุดก็เดือนนี้นี่เอง (เม.ย.2012) คิดดูสิตอนนั้นพ่อหนุ่ม Chris Hemsworth ยังเพิ่งได้เล่น Star Trek (2009) ไปเองมั้ง


ไอเดียของหนังเข้าท่ามิใช้น้อยเลย
แต่ช้าก่อนถึงหนังจะถูกดองเป็นผักกาดมานานทว่าก็ไม่ได้หมายความว่าหนังมันห่วยตามอย่างหนังเรื่องอื่นๆ ที่ถูกดองข้ามปีเช่นนี้ ที่ไหนได้หนังกลับออกมาเด็ดหลายๆ ชนิดที่ว่าคอหนังสยองขวัญดูแล้วถึงกับต้องซู้ดปากด้วยความถูกใจเป็นแน่แท้ ด้วยเรื่องราวที่ล้อเล่น ยียวน กวนบาทาขนบของหนังสยองพิมพ์นิยม แต่ก็ไม่ได้ออกมาแบบบ้าบอนะ (เอาแค่ไตเติ้ลเรื่องก็กวนได้ใจแล้ว) พล็อตที่เข้าใจคิด ยากที่จะคาดเดา แต่ก็ไม่ถึงกับฉีกกฏหนังสยอง หรือสร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ เพราะที่จริงแล้วหนังยังเดินตามขนบอยู่ แต่เป็นการเดินแบบเดี๋ยวเดินเดี๋ยววิ่ง เดี๋ยวกระโดด เดี๋ยวเขย่ง เดี๋ยวนั่ง เผลอๆ ก็แวะออกไปฉี่ข้างทางก่อนจะวกกลับเข้ามาอีกครั้งได้อย่างเข้าทีต่างหาก


อิทธิพลจากหนังสยองคลาสสิกถูกนำมาใช้เพียบ
ทั้งเรื่องตลบอบอวลไปด้วยบรรยากาศและไอเดียของหนังสยองดังๆ เรื่องโน้นทีเรื่องนี้ทีอยู่ตลอด แต่ไฮไลท์สุดเด็ดของหนังคงไม่พ้นช่วงท้ายที่ขนหนังสยองมากันหมดเท่าที่ท่านจะนึกออก ถึงไอเดียจะเข้าท่าไม่ซ้ำซาก หนังมันก็ไม่ถึงกับเด็ดขาดไปซะหมดทุกอย่าง เพราะถ้าดูแบบคิดมากแล้วหนังยังมีอะไรชวนตะหงิด อย่างเช่นไอ้การเอาเรื่องความเป็นความตายของโลกมาทำให้ออกมาอย่างกับรายการเรียลลิตี้โชว์มันดูยังไงๆ อยู่นา ซึ่งน่าจะง่ายกว่ามั้ยถ้าจะจับมาฆ่าเลย ถึงแม้หนังจะให้เหตุผลว่าเพื่อความบันเทิงของผู้ชมก็เถอะ รวมทั้งตอนจบที่อาจขัดใจคนดูหลายคนเอาได้ง่ายๆ อยู่เหมือนกัน (แต่คงส่วนน้อยมั้ง)


แต่ที่ยังเหมือนเดิมคือนางเอกที่ต้องสะบักสะบอมตลอดงาน
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังนับว่านี่เป็นหนังสยองขวัญที่น่าพึงพอใจเอามากๆ หนังต้องโดนใจไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคอหนังสยองขวัญตัวยง หรือคอหนังที่ชอบหนังที่มีไอเดียแจ่มๆ ไม่ซ้ำซาก ถึงเรื่องนี้ท่าน Whedon สูแค่ร่วมเขียนบทและอำนวยการสร้างให้ แต่ก็น่าจะสร้างเครดิตอันดีให้กับเขาแน่ๆ นี่เห็นว่า The Avengers ก็ได้คำชมล้นหลามจากคนที่ดูแล้ว มันก็ยิ่งน่าจะตอกย้ำความสำเร็จให้แก่เขาจนถือได้ว่าปีนี้คือปีทองของชายที่ชื่อว่า Joss Whedon เลยทีเดียว ดังนั้นเห็นทีคอหนังคงจะได้ยินชื่อนี้ไปอีกนานแหล่ะจ้า ขอบอก

*ปล.ฉบับพากย์ไทย พันธมิตรเล่นมุกครูอังคณาเยอะมาก ซึ่งเอิ่ม.. ครูแกเป็นใครเหรอ? ไม่รู้จริงๆ นะเอ้า จะว่าเชยก็ยอมรับล่ะ อิอิ*
  • + ไอเดียดี เข้าใจคิด คอหนังสยองต้องถูกใจสุดๆ เช่นเดียวกับคอหนังที่ชอบดูหนังที่ไอเดียเข้าท่า ไม่ซ้ำซาก
  • - ถ้าดูแล้วชอบคิดมากก็อาจมีอะไรให้คาใจ หนังก็ไม่ได้เด็ดดวงขนาดที่ซูฮกกันว่าฉีกกฏหนังสยองหรอเน้อ





*รีวิวหนังเรื่องของพ่อหนุ่ม Chris Hemsworth เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*


วันจันทร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555

Haywire (2011): พยัคฆ์สาวฟัดดุ


Haywire (2011) :

อันบรรดาแอ็คชั่นฮีโร่หญิงของฮอลลีวู้ดนั้นแสนมากมี แต่หามีใครไม่ที่สามารถเตะตูดจิ๊กโก๋ได้ในชีวิตจริง เพราะที่เห็นย๊ากๆ บนจอนั่นมันก็แค่เป็นเรื่องของการแสดงและเทคนิคการถ่ายทำเท่านั้น ตัวจริงของเธอเหล่านั้นล้วนแต่หวานแหววแต๋วจ๋าแทบจะทั้งสิ้น วันดีคืนดีก็มีคนเล็งเห็นถึงจุดนี้ว่า ถ้าจะหาแอ็คชั่นฮีโร่หญิงเด็ดๆ สักคน ทำไมไม่คว้าเอานักบู๊หญิงตัวจริงเสียงจริงมาขึ้นจอให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลยล่ะ จริงมั้ย? (เออ จริง)

แอ็คชั่นฮีโร่หญิงคนใหม่แห่งยุทธจักรหนังบู๊
และอิตาคนที่เล็งถึงจุดนี้จนตาเขนั้นก็คือ Steven Soderbergh ผกก.แถวหน้าที่ไม่ว่าจะทำหนังคุณภาพก็ฮ็อตหนังตลาดก็ฮิต ซึ่งขอจับเอา Gina Carano ยอดหญิงนักบู๊ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงอดีตมิสทิฟฟานี่ ใช่ที่ไหน อดีตนักกีฬา MMA (mixed martial arts) ชื่อดัง ที่นอกจากจะมีวิทยายุทธอันล้ำเลิศแล้วเธอยังมีรูปร่างหน้าตาที่ดูดีไม่เป็นกระเทยถึกดั่งนักสู้หญิงทั่วไป มาปลุกปล้ำ เอ๊ย ปลุกปั้นให้เป็นนางเอกนักบู๊คนใหม่แห่งวงการภาพยนตร์ ณ บัดนาว (ซึ่งเธอก็เล่นหนังมาหลายเรื่องแล้วนะ แต่ไม่ใช่บทนางเอกเต็มขั้นขนาดนี้เท่านั้นเอง)


มีดาราหนุ่มฮ็อตๆ มาให้เธอฟัดเพียบ
หนังมาด้วยเรื่องราวสไตล์สายลับมีเงื่อนงำปนบู๊ไล่ล่า ซึ่งถ้าจะนับเป็นญาติห่างๆ กับ Jason Bourne ก็ถือว่าไม่น่าเกลียดอะไร และด้วยความที่เป็นหนังของ ผกก.ระดับ Soderbergh จึงมีดาราดังๆ หลายคนยอมมาพลีร่างร่วมแสดงอย่างคับคั่ง โดยเฉพาะการที่หนังจงใจให้ฝ่ายตรงข้ามนางเอกมีแต่หนุ่มฮ็อตๆ มาให้นางเอกฟัดจนน่วมคนแล้วคนเล่า ซึ่งนอกจากจะเป็นการเพิ่มโหงวเฮ้งให้หนังดูดีมีระดับและดึงดูดสาวๆ เข้าโรงแล้ว ยังเป็นการประกาศศักดาสวนทางกับหนังแนวนี้ส่วนใหญ่ที่เขาเหล่านั้นน่าจะเป็นพระเอกกันได้อย่างสบายๆ อีกต่างหาก

แม้แต่โอบีวัน เคโนบียังต้องร้อนๆ หนาวๆ เมื่อเจอเธอ
แต่หัวใจของหนังคงจะไม่พ้นคุณ Carano ที่เล่นคิวบู๊คิวโลดโผนเองได้อย่างทะมัดทะแมงสมชายจรดปลายเท้า (?!) หนังจึงไม่ต้องตัดต่อฉับไวใช้มุมกล้องช่วยมันส์เหมือนเรื่องอื่น แต่เน้นถ่ายคิวบู๊นิ่งๆ เพื่อโชว์ทักษะและความกล้าเล่นกล้าเจ็บของเธออย่างเต็มที่ ในขณะที่การแสดงฉากดราม่าเธอก็เล่นได้ดี ยกเว้นเวลาพูดที่เธอพยายามทำเสียงให้นิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ จนบางทีชวนให้สงสัยว่าเป็นเพราะบทบาทของเธอต้องนิ่งหรือเป็นเพราะเธอแสดงแบบท่องบททื่อๆ เอาหว่า อิอิ

ในที่สุดชายชาตรีก็ต้องตกอยู่ใต้อาณัติของสตรีจนได้
หนังลีลาเหมือนหนังสายลับสมัยก่อนที่เน้นบรรยากาศไม่น่าไว้วางใจ แอ็คชั่นประปราย จึงไม่ได้บู๊เว่อร์เถิดเทิงกระหน่ำแหลกซัมเมอร์เซลส์ ดังนั้นถ้าจะดูกะเอามันส์ก็คงจะไม่ได้ดั่งใจหวังนักหรอก ในขณะที่เรื่องราวเงื่อนงำของหนังก็ไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมายแต่อย่างใด หนังคงจะดูธรรมดาลงไปกว่านี้แน่ถ้าไม่มีฉากโชว์แอ็คชั่นของนางเอกกับบรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลาย กระนั้นโดยรวมแล้วหนังก็ยังดูกันได้เพลินๆ เข้าท่าอยู่ ที่สำคัญคือในที่สุดเราก็ได้เห็นนางเอกหนังบู๊ที่เล่นคิวบู๊เองได้สุดแจ่มแบบนี้ ยังไงก็ต้องติดตามผลงานของเธอต่อไปแหล่ะว่าจะไปได้สวยสักแค่ไหนบนยุทธจักรหนังบู๊เน้อ
  • + หน้าหนังดูดี ดารามากมี นางเอกเล่นคิวบู๊เองได้อย่างทะมัดทะแมงเข้าท่าไปโลด
  • - หนังไม่บู๊สะใจ เรื่องราวเงื่อนงำไม่มีอะไรเกินความคาดหมาย






*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของ ผกก.Steven Soderbergh ภายในบล็อก*