วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Perfect Sense (2011): เชื้อมิอาจกั้น



Perfect Sense (2011) :

เมื่อ Michael (Ewan McGregor) กุ๊กหนุ่มหล่อผู้ไม่ยอมมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับใครเสียที และ Susan (Eva Green) สาวสวยนักระบาดวิทยาที่เพิ่งอกหักรักคุดมาหยกๆ ได้มารู้จักมักจี่และเริ่มรักกันในช่วงเวลาที่โรคระบาดลึกลับได้เริ่มแพร่กระจายไปทั่วโลกพอดี ซึ่งมันทำให้ผู้ที่ได้รับเชื้อมีอาการเริ่มแรกคืออยู่ๆ ก็ร้องไห้ฟูมฟายอย่างไร้สาเหตุ และค่อยๆ เริ่มสูญเสียประสาทสัมผัสของตนลงทีละอย่าง ตั้งแต่การดมกลิ่น การรับรู้รสชาดอาหาร การได้ยิน และการมองเห็น ซึ่งชะตากรรมของสองพระนางเราจะเป็นเช่นไรต่อไปนั้นก็ต้องลุ้นกันตามยถากรรมบ้านใครบ้านมันล่ะเน้อ

คู่พระนางหล่อสวยเห็นแล้วชื่นจิต
ดูเหมือนว่าปีที่แล้ว (ค.ศ.2011) ผกก.David Mackenzie จะขยันขันแข็งดึ๋งดั๋งเป็นพิเศษเพราะเฮียแกเล่นเข็นหนังออกมาสองเรื่องติดปานได้รับพลังคอสโม่จากยาไวอะกร้าก็มิปาน นั่นคือหนังรักกลางเทศกาลดนตรี T in the Park อย่าง You Instead กับหนังรักท่ามกลางวิกฤตการณ์โรคระบาดลึกลับเรื่องนี้ ซึ่งเขาได้กลับมาร่วมงานกับพระเอก McGregor อีกหนหลังจากที่เคยป๊ะกันมาแล้วครั้งหนึ่งใน Young Adam (2003) นั่นเองจ้า


กุ๊กกับนักระบาดวิทยาจะมาปิ๊งรักกันยังไงหนอ?
แหม่ ฟังพล็อตแล้วชวนให้นึกว่าเป็น Contagion (2011) เวอร์ชั่นโรแมนติกเสียจริง ซึ่งก็ต้องขอชมแหล่ะว่าคนคิดเรื่องเข้าใจผสมไอเดียจัง เพราะหนังออกมากลายเป็นหนังรักท่ามกลางวิกฤตโรคร้ายที่เข้าท่า โดนใจ จี๊ดมากๆ และแม้จะเกี่ยวกับเชื้อโรคร้าย แต่ก็เป็นเชื้อร้ายที่ไม่ซ้ำทางใครเพราะไม่ได้ออกแนวสยองทำให้ผู้ติดเชื้อร่างกายเน่าเฟะตายอนาถ แต่เป็นแบบที่ทำให้คนสูญเสียการรับรู้ประสาทสัมผัสของตนไป ซึ่งเพียงแค่นี้ก็ทำให้ชีวิตคนเราวุ่นวายมหาศาลแล้วล่ะนะ (โอเค อาจจะเหมือน Blindness (2008) อยู่นิดนึง อิอิ)


เชื้อโรคร้ายระบาดก็ยังสวีทกันได้อยู่
นอกจากไอเดียจะเข้าท่า คู่พระนางจะฝีมือวางใจได้ แถมเข้าขาเคมีลงตัวได้ใจคนดูแล้ว ผกก.Mackenzie ยังนำสไตล์การเล่าเรื่องที่ดูกึ่งอาร์ต (แต่ไม่ใช่แบบปีนบันไดดูเน้อ) ด้วยการใช้เสียงบรรยาย การตัดต่อภาพต่างๆ แทรกเข้ามาในเรื่องราวได้อย่างเกิดผล งานด้านภาพก็สวยดูดีมีองก์ และที่โดดเด่นเกื้อหนุนความดีงามและความจี๊ดให้แก่หนังชนิดสุดๆ ก็คือดนตรีประกอบโคตรเพราะของ Max Richter ที่เพราะพริ้งสุดบรรเจิดถึงขั้นทำเอาน้ำหูน้ำตาน้ำมูกไหลได้ไม่ยากเลยล่ะ (แต่อย่าน้ำลายไหลละกัน)

หนังดีถ่ายภาพสวยดนตรีเพราะอีกต่างหาก
แต่ถึงกระนั้นหนังแบบนี้ก็ใช่ว่าจะดูแล้วชอบกันได้ทุกคน โดยเฉพาะท่านที่หวังจะดูหนังแนวโรคระบาดชวนระทึกตื่นเต้น หรือที่อยากดูอะไรแหว่ะๆ คงได้ผิดหวังกัน ส่วนคนที่หวังจะดูหนังรักหวานย้วยก็คงจะผิดหวังอีกนั่นแหล่ะ เพราะในภาวการณ์อันวุ่นวายเช่นนี้ใครเขาจะไปโรแมนติกกันออกล่ะเนอะ (แต่ในหนังโรแมนติกออกนะ อิอิ) รวมทั้งหนังยังไม่ได้อธิบายถึงที่มาของเชื้อร้ายเยี่ยงหนังแนวนี้เรื่องอื่นๆ ซึ่งของแบบนี้แล้วแต่รสนิยมและแนวคิดของแต่ละท่านแล้วจริงๆ ครั่บ ไม่มีผิดมีถูกหรอก


หนังถ่ายทำที่สก็อตแลนด์ทั้งเรื่อง
ส่วนอีกอย่างที่จี๊ดโดนใจเราสุดๆ ก็คือในหนัง แม้ประชากรโลกเกือบทั้งหมดจะได้รับเชื้อและเริ่มสูญเสียประสาทสัมผัสลงทีละอย่าง แต่พวกเขาก็ยังตั้งหน้าตั้งตาใช้ชีวิตอย่างเดิมต่อไป ซึ่งถึงจะไม่เหมือนเดิมเต็มร้อยแต่พวกเขาก็พยายามปรับตัวให้ดีที่สุด ราวกับหนังกำลังบอกเราว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ทำให้คนเรายังคงยืนหยัดอยู่ต่อไปได้นั้น ก็คือ 'ความหวัง' และสิ่งที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ'ความรัก' เพราะถ้าหากไม่มีความรักแล้ว ความหวังก็จะไม่คงทน ทุกอย่างก็คงจะสูญเปล่าและไร้ความหมายไปในที่สุด ใครมีหูจงฟังเถิด
  • + หนังรักท่ามกลางหายนะเชื้อร้ายไอเดียเข้าท่า หนังออกมาได้จี๊ดโดนใจมากๆ แถมดนตรีประกอบเพราะที่สุดในสามโลกอีกต่างหาก จึงขอชาบูๆ อูราๆ เอาใจเราไปเต็มๆ เลยจ้า
  • - หน้าหนังชวนมองข้าม และหลายคนอาจเห็นว่าจะรักก็ไม่สุด จะโรคก็ไม่สุด ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลยเรื่องนี้




*ช่วงเพลงในหนัง*


Max Richter
สิ่งที่ทำให้หนังออกมาชวนซาบซึ้งประทับใจอย่างสุดๆ ก็คงจะไม่พ้นดนตรีประกอบโคตรเพราะของ Max Richter คอมโพเซอร์ชาวอังกฤษ ที่มีผลงานเพลงประกอบหนังฝั่งยุโรปมาหลายเรื่องแล้ว ซึ่งในหนังเขาใช้เครื่องดนตรีอย่าง เปียโน และเครื่องสายเป็นหลัก ทำให้ได้อารมณ์โรแมนติก หวานซึ้ง เศร้าซึม โหยหา แก่ตัวหนังแบบสุดๆ ชนิดที่ว่าพอหนังจบอาจทำเอาคอหนังหลายคนบ่อน้ำตาแตกเอาได้ง่ายๆ เราจึงขอประกาศถึงความดีงามของตัวอัลบั้มมา ณ ที่นี้ และก็มีมาให้ลองฟังลองโหลดกันตามฟอร์มด้วยจ้า จงกดฟังโดยพลัน!


*ท่านสามารถโหลดอัลบั้มซาวน์แทร็คหนังเรื่องนี้ไปฟังได้โดยการคลิกที่รูปอัลบั้มข้างบนจ้า*


*รีวิวหนังของ ผกก.David Mackenzie และหนังเรื่องอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในบล็อก*

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น