วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

Wu xia (2011): เดชจอมยุทธ์แอ๊บเห่ย



Wu xia (2011) :
ช่วงนี้กำลังเป็นช่วงน้ำท่วมให้รีบวิดของชาวไทยเรา และเป็นช่วงน้ำขึ้นให้รีบตักของเฮีย ดอนนี่ เยน ที่ดังคับทุ่งในฐานะพระเอกนักบู๊มือวางอันดับหนึ่งแห่งเอเซีย เราจึงได้ชมผลงานหนังของเฮียเขาถี่ยิบหน่อยในช่วงนี้ ซึ่งก็มีทั้งหนังดีบ้างเฉยบ้างไปตามเรื่อง มาผลงานล่าสุดของเฮียเรื่องนี้ก็ขอแท็คทีมกับ ผกก.ปีเตอร์ ชาน (The Warlords [2007]) และพ่อหนุ่ม ทาเคชิ คาเนชิโร่ ขวัญใจสาวๆ มาร่วมกันสร้างความบันเทิงแด่บรรดามิตรรักแฟนหนังนะคร้าบ


ในที่สุดสองหนุ่มสองมุมคู่นี้ก็มาเจ๊อะกันจนได้
ส่วนพล็อตเรื่องก็เป็นเหมือนการจับเอา A History of Violence (2005) ของป๋า David Cronenberg มาผสมผสานยำคลุกกับหนังแนวสืบสวนสอบสวนสไตล์ CSI และปิดท้ายด้วยการที่หนังได้รับแรงบันดาลใจ (ที่ไม่ใช่การรีเมค) จากหนังกำลังภายในสุดคลาสสิครุ่นพ่อแม่ยังเอ๊าะเรื่อง 'เดชไอ้ด้วน' จนออกมาเป็นส่วนผสมที่เข้าท่าน่าสนใจน่าลิ้มลองยิ่งนักเชียว

เรื่องนี้เฮียเยนมีโอกาสโดนอัดน่วมกว่าเรื่องอื่นๆ อยู่พอตัวทีเดียว
หนังมีลีลาการเล่าเรื่อง การนำเสนอที่เข้าท่า โดยไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาจะบู๊กันอย่างเดียว แต่บทจะบู๊ก็บู๊ดูบู๊ดีตามมาตรฐานอันดีงามของหนังเฮียเยนเขาอยู่แล้ว และส่วนที่ทำให้หนังน่าสนใจสุดๆ ขึ้นไปอีกก็คือการให้ความสำคัญในการนำเสนอภาพวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวจีนบ้านนายุคนั้นในแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นจากหนังกำลังภายในส่วนใหญ่ ส่วนแฟนหนังกำลังภายในยุคเก่าคงจะมีเฮ เพราะ หวังหยู่ อดีตนักบู๊ชื่อดังเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ได้มารับบทเป็นตัวร้ายประจำเรื่อง (ซึ่งก็เป็นเขานี่แหล่ะที่เคยโด่งดังจากหนังชุดเดชไอ้ด้วนเมื่อครั้งนั้น)


หวังหยู่ดาราดังในอดีตก็มากับเขาด้วย
เสียดายที่คิวบู๊มีให้ดูกันไม่เยอะสะใจ และเงื่อนงำของหนังก็ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนเท่าใด โดยเฉพาะครึ่งหลังที่หย่อนความน่าสนใจลงไปเยอะ แต่รวมๆ แล้วนี่ก็ถือว่าเป็นอีกผลงานของเฮียเยนที่มีคุณภาพ การนำเสนอที่โดดเด่น น่าสนใจ ที่ก็จะเป็นอีกหนึ่งในผลงานที่คอหนังนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ เมื่อนึกถึงหนังของเฮียขึ้นมา และมันก็จะส่งเสริมเครดิตให้เฮียเยนดำรงฐานะยอดนักบู๊มือวางอันดับหนึ่งของเอเซียอย่างเต็มภาคภูมิต่อไปอีกนานเลยทีเดียวเชียว

พ่อหนุ่มทาเคชิกำลังเพ่งอะไรซะตาเหล่เชียว
  • + งานสร้างเยี่ยม การนำเสนอแจ่ม แถมมีการเสนอวิถีชีวิตของชาวบ้านจีนยุคโน้นได้อย่างน่าสนใจ แฟนหนังของเฮียเยนไม่มีผิดหวังกันแน่นอน
  • - ฉากบู๊มีน้อยไป เรื่องราวเงื่อนงำไม่เกินคาดเดานัก และช่วงหลังหนังลดความน่าติดตามลงไปแยะพอดู



*รีวิวหนังของเฮียดอนนี่ เยน และเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจภายในบล็อก*

The Tree of Life (2011): นี่แหล่ะ...ชีวิต


The Tree of Life (2011) :
Terrence Malick ผกก.หนังในตำนานกลับมาพร้อมผลงานเรื่องที่ห้าของเขา ซึ่งบรรดานักวิจารณ์และแฟนานุแฟนต่างก็พากันให้การต้อนรับขับสู้อย่างอบอุ่นม่วนซื่นโฮแซว จนหนังคว้ารางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ครั้งล่าสุดมาครองได้สำเร็จ และเตรียมตัวเดินสายกวาดรางวัลจากเวทีแจกรางวัลต่างๆ ซึ่งนั่นก็น่าจะรวมถึงออสก้าร์ด้วยนะ ขอบอก


Brad Pitt ในหนังอาร์ต (โอ้ว!?)
คนที่เคยผ่านสายตาผลงานของ ผกก.Malick มาก่อนคงจะรู้กันดีว่าหนังของเขาก็คือหนังอาร์ตภาพสวยแฝงปรัชญาชวนตีความที่เต็มไปด้วยดาราฮอลลีวู้ดชื่อดัง (ในเรื่องนี้คือ Brad Pitt และ Sean Penn) และคราวนี้ก็เช่นกันที่ขอกล่าวถึงปรัชญาเกี่ยวกับ พระเจ้า ชีวิต ครอบครัว ไปยันจุดเริ่มต้นของจักรวาลเลยทีเดียว (บางช่วงให้ความรู้สึกว่ากำลังนั่งดูสารคดีกำเนิดโลกอยู่ก็มิปาน) ป๊าด! อะไรจะขนาดนั้นครับลุง


เข้าใจเลือกเด็กมาซะหน้าเหมือนกันเชียว
หนังโดดเด่นที่งานด้านภาพ ที่เข้าใจถ่ายทอดมุมมองอันงดงามน่าอเมซิ่งของธรรมชาติ ยิ่งมีการบรรเลงเพลงคลาสสิคคลอไปด้วยยิ่งสร้างอารมณ์บรรเจิดกันไปใหญ่เลยล่ะงานนี้ ส่วนเรื่องราวของหนังนั้นเรียบง่ายไม่ซับซ้อน แต่ ผกก.เขาเก่งในการนำเสนอให้ซับซ้อน (อิอิ) คือเล่าเรื่องไม่เรียงตามลำดับ ตัดภาพสลับไปมา ใช้การรำพึงในใจของตัวละคร และเต็มไปด้วยสัญลักษณ์แฝงปรัชญาให้ตีความกันสนุกสนาน (สำหรับบางคนนะ)

หนังเล่นกันอยู่ไม่กี่คนนี่แหล่ะ
โดยเฉพาะประเด็นเรื่องพระเจ้าเนี่ยหนังค่อนข้างจะเน้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งฝรั่งหรือคริสเตียนที่คุ้นเคยกับไบเบิ้ลก็คงจะเก็ทกับหนังได้มากกว่าขาจรทั่วๆ ไปอยู่บ้าง การเริ่มต้นด้วยข้อพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจากหนังสือโยบนั้นก็พอจะบอกเลาๆ ได้ว่าตัวหนังกำลังจะประยุกต์เรื่องราวของโยบมาไว้ในหนังแบบอ้อมๆ โดยเฉพาะในส่วนของการรับมือกับการสูญเสียที่เกินทำใจของคนเรา หลายครั้งเราจึงจะได้เห็นตัวละครรำพึงในใจตั้งคำถามยังพระเจ้าถึงความไม่เที่ยงแท้ของชีวิตที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่


เฮียแบรดเล่นดีจนมีลุ้นไปถึงเวทีออสก้าร์
นอกจะหนังจะชวนงงแล้ว ยังเรื่อยๆ นิ่งๆ ชวนเบื่อ ชวนหลับอีกด้วย ดังนั้นโปรดพึงเตรียมการพักผ่อนกายใจให้พร้อมก่อนที่จะดูหนังเรื่องนี้ (ไม่งั้นอาจมีหลับหงายเงิบ) แต่ถ้าหากท่านดูหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยเข้าใจก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะคงมีแต่ตัว ผกก.เองที่เข้าใจทุกอย่างในนั้น (แน่ล่ะสิ อิอิ) เอาเป็นว่าสำหรับคอหนังบ้านๆ อย่างเราๆ ท่านๆ นั้นการแค่ได้ดูงานด้านภาพสวยงามสุดอเมซิ่งของหนัง การแสดงแจ่มๆ ของนักแสดง และแง่คิดเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่อง ก็คุ้มค่าต่อการสละเวลารับชมแล้วล่ะเนอะ


งานด้านภาพสวยงามอเมซิ่งยิ่งนัก
  • + นานๆ ผกก.Malick จะทำหนังมาสักเรื่อง หนังแบบนี้ไม่มีให้ดูบ่อยๆ นะ ใครชอบดูหนังที่ต้องตีความ คิดตาม ชอบงานด้านภาพอันงดงามน่าทึ่ง ก็ไม่ควรพลาดจ้า
  • - หนังชวนงง ชวนง่วง และนิ่งเรื่อยตามสไตล์ ผกก.Malick นี่จึงเป็นหนังดีที่ใช่ว่าจะชอบกันได้ทุกคนหรอกเน้อ



*อันเนื่องมาจากหนัง*

ภาพวาดของโยบ (คนที่สองจากซ้าย) ตามจิตนาการของศิลปิน
หนังชวนให้นึกถึงโยบในไบเบิ้ล ซึ่งเราขอสรุปย่อๆ ถึงเรื่องราวของโยบ สำหรับผู้ที่กำลังงงว่าเขาคือใครกันหนอดังนี้ โยบ คือชายชาวยิวผู้มั่งคั่ง เป็นคนดี เที่ยงธรรมและเคารพเชื่อฟังพระเจ้าแบบสุดๆ ต่อมาซาตานได้ท้าทายต่อพระเจ้าว่า ลองให้โยบเจอการสูญเสียต่างๆ ดูสิ ขี้คร้านเขาจะด่าทอพระเจ้าที่ปล่อยให้เขาเจอเรื่องแบบนี้เข้า

ซึ่งพระเจ้าก็เลยอนุญาตให้ซาตานทำให้โยบเจอการสูญเสียต่างๆ นาๆ ชนิดเกินรับไหว แต่เขาก็ยังไม่ด่าพระเจ้าสักคำ และเอาแต่ตำหนิตนเอง ซึ่งสุดท้ายพระองค์ก็ทรงตรัสกับโยบว่า ทรงเป็นพระเจ้าผู้สร้างจักรวาลและทุกสรรพสิ่ง ทรงให้และทรงเอาคืน ทรงรู้จักเราแต่ละคนดี และทรงรู้อยู่แล้วว่าโยบทนได้แค่ไหน และสุดท้ายก็ทรงอวยพรให้โยบได้ทุกสิ่งทุกอย่างคืนมาสองเท่า

ซึ่งเรื่องราวของโยบกำลังบอกเราว่า ในชีวิตคนเรานั้นบางครั้งต้องได้เจอเรื่องร้ายๆ การสูญเสีย ที่บางครั้งเราไม่อาจรับได้และไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าให้มันเกิดขึ้นกับเราได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่หน้าที่ของพระองค์จะมานั่งตอบเราว่าทำไม (หรือแม้แต่ตัวเราเองด้วยที่จะตอบคำถามนี้) แต่ขอให้เราเข้าใจว่า 'นี่แหล่ะชีวิต' ที่ต้องมีทั้งเรื่องดีและร้ายผ่านเข้ามา อยู่แต่ว่าเราจะรับมือกับมันด้วยท่าทีอย่างไรเท่านั้นแหล่ะ ขอพลังจงอยู่กับทั่นเน้อ พี่น้องทั้งหลาย :)


วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2554

Horrible Bosses (2011): หัวอกลูกจ้าง


Horrible Bosses (2011) :
ผู้ใหญ่มักจะสอนลูกสอนหลานของตนว่าให้ตั้งใจเรียน โตขึ้นจะได้เป็นเจ้าคนนายคน แต่จะมีสักกี่คนที่ได้เป็นเจ้าคนนายคนจริงๆ เพราะส่วนใหญ่โตไปเรียนจบจนทำงานก็ต้องไม่พ้นกลายเป็นลูกน้องลูกจ้างของชาวบ้านเขาอยู่ดี ซึ่งถ้าเจอเจ้านายดี ก็ดีไป แต่บางคนที่เจอเจ้านายแย่ๆ นี่มันน่าชีช้ำจิตยิ่งนัก ว่าแล้วก็เลยมีหนังที่เกี่ยวกับเจ้านายแย่ๆ กับลูกน้องรั่วๆ เรื่องนี้ออกมาให้ดูกัน


สามหนุ่มลูกจ้างหัวใจชีช้ำประจำเรื่อง
หนังเสนอเรื่องของหนุ่มลูกจ้างสามนายที่เป็นเพื่อนซี้กัน ซึ่งต่างก็มีเจ้านายแย่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายสุดไซโค เจ้านายบ้าเซ็กซ์ และเจ้านายสุดงี่เง่า พวกพระเอกเรารู้สึกว่าถูกย่ำยีจนอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป เลยต้องวางแผนฆ่าเจ้านายตนเองซะเลยให้รู้แล้วรู้รอด และเพราะนี่คือหนังตลก ดังนั้นแทนที่เรื่องราวจะซีเรียสสุดระทึก ก็กลับกลายเป็นว่ามีแต่เรื่องรั่วๆ ฮาๆ ตามมาอีกมากมายแทนซะงั้น ขอบอก


มาดเจ้านายแต่ละคน
ผกก.Seth Gordon (Four Christmases [2008]) ทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้ฮาโดนใจ ถูกจริต คนเป็นลูกจ้างซะจริง ดังนั้นคนที่จะอิน เก็ท และฮากับหนังได้ก็คงจะเป็นบรรดาลูกจ้าง นายจ้างทั้งหลายนั่นเอง หนังไม่มีมุกสัปดน ลูกบ้า หรืออะไรที่มันสุดโต่ง แต่ใช้นักแสดงคุ้นหน้าคุ้นตาหลายคนมาเป็นสีสัน จุดขาย และไดอะล็อคที่ลื่นไหลมาสร้างอารมณ์ขันให้กับตัวหนังเป็นอย่างดีแทน

มีดาราดังๆ มาร่วมสร้างสีสันด้วย
ดังนั้นนี่จึงเป็นหนังตลกเรทอาร์ที่ค่อนข้างจะเรียบร้อย เหมาะกับผู้ใหญ่วัยทำงาน ไม่ค่อยมีอะไรหวือหวาอย่างชาวบ้านเขา แต่ก็ดูกันได้เพลินๆ ฮาๆ ดีไม่เลว ใครเครียดๆ มาจากเจ้านายที่ทำงาน มาดูเรื่องนี้ คงจะช่วยให้หายเครียดได้เยอะ แต่ยังไงก็อย่าคิดไปฆ่าเจ้านายเลียนแบบในหนังซะล่ะ เพราะคงไม่ได้จบแบบคลี่คลาย และตลกไม่ออกอย่างในหนังแน่ เหอๆ


หนังเหมาะกับคนวัยทำงานยิ่งนัก
  • + เป็นหนังตลกสำหรับคนวัยทำงานที่ทำออกมาได้ ตลก ดูเพลินดีแท้
  • - ค่อนข้างเรียบร้อย ไม่หวือหวา ไม่บ้าบอ หลายคนเลยอาจไม่สะใจกับหนังเอาได้

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

Green Lantern (2011): หลังแหวนพิทักษ์จักรวาล


Green Lantern (2011) :
หนังฮีโร่ฝั่ง Marvel Comics ต่างได้ดิบได้ดีทำเงินกันลั้นลาซะแทบทุกราย แต่ทางฝั่ง DC Comics คู่แข่งตลอดกาลนั้นเล่า มีรุ่งแต่หนังของ Batman รายเดียวเอง ดังนั้นทาง DC Comics จึงพยายามดันฮีโร่รายอื่นๆ ในสังกัดให้ลืมตาอ้าปากจงได้ และนี่คือความพยายามครั้งล่าสุดที่ถึงคราวจับ Green Lantern ยอดมนุษย์พลังหลังแหวนมาขึ้นจอเงินบ้างล่ะ


หนุ่มหล่อย่อมต้องคู่กับสาวสวย
พอเห็นจากหน้าหนัง ดารา ผกก.แล้วก็พอจะสร้างความหวังว่าหนังคงจะออกมาเข้าท่าได้อยู่ โดยเฉพาะการได้หนุ่ม Ryan Reynolds (The Proposal [2009]) ที่กำลังฮ็อตฮิตขึ้นหม้อในยุคนี้มารับบทนำด้วยแล้ว แถม ผกก.ก็ไม่ใช่ขี้ไก่ขี้เป็ดมาจากไหน เพราะ ผกก.Martin Campbell (Casino Royale [2006]) เขาก็ช่ำชองเชี่ยวชาญในการทำหนังแอ็คชั่นฟอร์มโตอยู่แล้ว


หนุ่มไม่หล่อย่อมตายไม่ค่อยดี
แต่พอหนังออกฉาย ปรากฏว่าผลตอบรับกลับไม่สู้ดีนักทั้งด้านคำวิจารณ์หรือรายได้ (ต้องรวมรายได้ทั่วโลกกว่าจะคืนทุน 200 ล้านเหรียญ) ก็เลยแป้กกันไปอีกราย จนล่าสุดทางวอร์เนอร์ต้องประกาศระงับแผนการที่จะสร้างเป็นไตรภาคไปเรียบร้อย ส่งผลให้อนาคตของฮีโร่รายนี้บนจอเงินไม่ค่อยจะสวยหรูอย่างที่คาดหวังเอาซะแล้ว และทำให้ทาง DC Comics ต้องเอาเท้าก่ายหน้าผากอีกต่อไป

ยิ่งแก่หัวหงอกแล้วยิ่งศพไม่สวย
อันที่จริงแล้วหนังก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร หนังดูได้เพลินๆ ดีออก เพียงแต่ว่าหนังขาดทีเด็ด หรือศักยภาพในระดับที่คอหนังคาดหวังไว้ ยิ่งในทุกวันนี้หนังฮีโร่จากหนังสือการ์ตูนเขาล้วนแต่คุณภาพคับไหกันทั้งนั้น จึงเป็นธรรมดาที่หลายคนต้องผิดหวังกับหนังเรื่องนี้ เอาแค่การที่หนังมีมือเขียนบทล่อเข้าไปถึงสี่คนก็ส่งเค้าว่าหนังจะออกมาไม่มีเอกภาพแล้ว (ไอเดียตีกันมั่ว) หนังเลยไปไม่สุดสักทางอย่างที่เห็นนั่นเอง


มาดบู๊ของพระเอกเขาล่ะ
ยังไงก็หวังว่าในอนาคตเราจะได้เห็นฮีโร่พลังหลังแหวนรายนี้กลับมาโลดแล่นบนจอเงินอีกครั้ง และก็ขอให้ไปได้สวยห่างไกลจากคำว่าแป้กด้วย เราจะได้มีหนังฮีโร่ดีๆ อยู่คู่โลกนี้ต่อไป ขอพลังแห่งความมุ่งมั่นจงสถิตย์อยู่กับทั่น และความกลัวอยู่ห่างไกลจากใจเน้อ พี่น้องที่รักทั้งหลาย!
  • + เป็นหนังฮีโร่ที่ทำออกมาได้ดูเพลินๆ ไม่ได้เลวร้ายอะไร
  • - ยังขาดเสน่ห์ ทีเด็ด แบบที่หนังฮีโร่ยุคนี้พึงมีไปอย่างน่าเสียดาย


วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

Don't Be Afraid of the Dark (2011): มืดๆ ผีชอบดอดมาแซว

Don't Be Afraid of the Dark (2010) :
ถึงเฮียตุ้ย Guillermo del Toro จะบอกศาลาเลิกกำกับ The Hobbit ไปแล้ว แต่ก็ยังรั้งเครดิตเขียนบทร่วมอยู่ และหลังจากไปกบดานที่นิวซีแลนด์มานมนาน ก็ถึงคราวเฮียตุ้ยได้ปลดปล่อยโครงการที่อัดอั้นตันจิตอยู่หลายเรื่อง ซึ่งก็รวมทั้งหนังสยองขวัญรีเมคเรื่องนี้ (รีเมคจากหนังทีวีชื่อเดียวกันที่ฉายปี 1973) โดยเฮียเขาขออำนวยการสร้างและเขียนบทให้ และดัน ผกก.หน้าใหม่นาม Troy Nixey ที่เป็นนักเขียนการ์ตูนฝีมือดีมารับผิดชอบถ่ายทอดวิชั่นสยองแทนนั่นเอง


คุณนายทอม ครูซ ขอปลีกตัวมาเล่นหนังสยองบ้าง
หนังเสนอเรื่องราวสุดสยองของหนูน้อย Sally (Bailee Madison) ที่จำต้องย้ายไปอยู่กับคุณพ่อ (Guy Pearce) และว่าที่แม่เลี้ยงคนสวย (Katie Holmes) ในคฤหาสน์เก่าแก่หลังหนึ่ง ซึ่งที่นี่เธอก็ได้ค้นพบบรรดาภูติตัวจิ๋วที่อาศัยอยู่ในอุโมงค์ใต้บ้าน และแล้วมิตรภาพที่ชวนสยองกลิ้งคนกับผีจึงได้เกิดขึ้นตามมาชนิดที่ท่านจะลุ้นระทึกจนนั่งไม่ติดไปเลยทีเดียว เฮียตุ้ยเขารับประกันคุณภาพเลยจ้า


โดดเด่นในด้านบรรยากาศสยอง
ผกก.Troy Nixey ทำหน้าที่ได้ดีในผลงานเรื่องแรกของเขา แต่ดูเหมือนหนังจะมีอิทธิพลจากเฮียตุ้ย del Toro ตลบอบอวลอยู่ตลอดทั้งเรื่อง (แถมแกยังโผล่มาแว๊บๆ ตอนต้นเรื่องด้วย) เลยมีหลายครั้งที่ชวนให้นึกถึงหนังเรื่องโน้นเรื่องนี้ของเขา สิ่งที่โดดเด่นในหนังคือด้านบรรยากาศสยองและการใช้เสียงที่ชวนหลอนได้อย่างทรงประสิทธิภาพ ส่วนนักแสดงที่โดดเด่นคือหนูน้อย Madison ที่เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องนั่นเอง


หนูน้อยคนนี้เล่นดีจริงๆ
แต่ว่าน่าเสียดายที่บรรดาตัวประหลาดในหนังไม่มีความร้ายกาจหรือว่าน่ากลัวพอ แถมหนังยังมีจุดชวนตะหงิดใจหลายอย่าง ซึ่งถ้าพูดไปจะเป็นการสปอยล์เปล่าๆ เอาเป็นว่าแค่การที่พวกผู้ใหญ่เอาแต่ละเลยและไม่เชื่อสิ่งที่หนูน้อยเราพูดได้ตลอดศกก็ชวนหมั่นไส้และไม่สมจริงพออยู่แล้ว ยังไงซะหนังก็ยังพอดูเอาลุ้น ดูเอาสยอง ดูเอาสนุกได้เพลินๆ ในระดับหนึ่ง แฟนๆ หนังสยองทราบแล้วเปลี่ยนจ้า


หนังทีวีเวอร์ชั่นต้นฉบับในปี 1973
  • + หนังสยองขวัญรีเมคที่โดดเด่นด้านบรรยากาศสยอง ลุ้นระทึกพอประมาณ ดูกันได้เพลินๆ
  • - ตัวประหลาดไม่น่ากลัวพอ และมีจุดชวนข้องจิตอยู่หลายจุด จนทำให้ลดทอนอารมณ์ร่วมลงไปแยะ