วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Foo Fighters: Back and Forth (2011): ย้อนตำนานควายถึกอัลเทอร์ฯ

Foo Fighters: Back and Forth (2011) :
สำหรับบรรดาคอเพลงร็อคสากลออกแนวอัลเทอร์ฯ แล้ว คงจะรู้จักกันดีกับวง Foo Fighters ที่นำโดยเฮีย Dave Grohl (อดีตมือกลองแห่ง Nirvana) ที่สื่อดนตรีไทยบางเจ้าเคยตั้งฉายาให้เฮียว่า 'ควายถึกแห่งวงการอัลเทอร์เนทีฟ' ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าเฮียเขาโง่จนเคี้ยวหญ้าหรอกนะแต่หมายถึงความทนทานสุดอึดชนิดไม่หวั่นแม้วันมามากของเฮียต่างหากเล๊า อิอิ


จากไอ้หนุ่มผมยาวกลายเป็นไอ้หนุ่มใหญ่ผมยาวไปซะแล้ว
แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่า Foo Fighters ซึ่งโลดแล่นบนถนนสายร็อคมากว่า 16 ปี ด้วยสตูดิโออัลบั้มอีก 7 ชุด และกลายเป็นวงร็อคระดับเต้ยไปแล้วในทุกวันนี้ กว่าที่พวกเขาจะมายืนอยู่จุดนี้ได้นั้นต้องผ่านอุปสรรคขวากหนามสุดดราม่ามามากมายแค่ไหน ว่าแล้ว ผกก.James Moll มือทำสารคดีสุดเก๋า จึงขออาสาพาท่านย้อนตำนานของวงไปยังสมัยที่วงเพิ่งตั้งไข่เมื่อปี 1994 มาจนกระทั่งถึงช่วงที่พวกเขาบันทึกเสียงอัลบั้มชุดล่าสุด Wasting Light ที่เพิ่งวางแผงไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี่เอง


(ซ้าย) บรรยากาศการทำสารคดี
สารคดีเล่าเรื่องตั้งแต่สมัยที่เฮีย Grohl ยังอยู่สุดยอดวงกรั๊นจ์ในตำนานอย่าง Nirvana จนกระทั่ง Kurt Cobain ฆ่าตัวตายชนิดแฟนเพลงช็อคกันไปทั้งโลก เขาจึงต้องตัดสินใจเลือกก้าวที่สำคัญอีกก้าวของชีวิต ระหว่างการไปเป็นมือกลองให้วงอื่นๆ ไปตลอดชีวิต หรือจะลุกขึ้นมาจับกีต้าร์ร้องเพลงและตั้งวงให้เป็นเรื่องเป็นราวตามฝัน ซึ่งก็แน่นอนที่เขาเลือกอย่างหลัง แต่การที่เขาเลือกมาตั้งวงก็แทบจะเป็นการกลับไปเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่เลยทีเดียว เพราะลำพังไอ้ชื่อเสียงบุญเก่าที่ติดตัวมาจาก Nirvana ก็คงช่วยให้เขาหากินได้ไม่นาน ถ้าเขาไม่เจ๋งพอก็คงจะเจ๊งไปในที่สุดแน่

น้า Pat ฉุขึ้นตามสังขาร
แต่เขาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีดีพอ และพาวงผ่านมรสุมต่างๆ นาๆ มาได้ แม้จะมีขลุกขลักขลุกขลิกทั้งจากตนเองและคนรอบข้างให้เสียเซลฟ์เป็นระยะๆ ก็ตาม จนถึงจุดที่ประสบความสำเร็จมหาศาล กลายเป็นวงร็อคเจ้าประจำของรางวัลแกรมมี่และเล่นคอนเสิร์ตระดับ เวมบลีย์ สเตเดี้ยม มีคนมาดูทีเป็นหมื่นๆ ซึ่งตอนเล่นคอนเสิร์ตที่นั่นเฮียเขาก็ถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความปลาบปลื้มชนิดเม้มไม่อยู่ที่วงของตนซึ่งมีแต่คนสบประมาทในตอนแรกนั้นจะมาได้ไกลถึงเพียงนี้ และก้าวพ้นจากเงาของ Nirvana อย่างเต็มภาคภูมิได้ในที่สุด

(ขวา) รูปสมัยวงเพิ่งตั้งไข่
หนังเล่าเรื่องราวตั้งแต่อดีตแบบเป็นขั้นเป็นตอน โดยตัดภาพไปมาระหว่างการสัมภาษณ์สมาชิกวงกับคลิปวีดีโอบันทึกการแสดง และรูปภาพเก่าๆ ตามพิมพ์นิยมของสารคดีทั่วๆ ไป ซึ่งก็ดูไม่งงและเข้าใจง่ายดี แล้วการที่เฮีย Grohl แกเป็นคนฮาๆ เลยมักปล่อยมุกหรือทำหน้าตาตลกๆ ให้ได้ขำกันตลอดด้วย แต่สำหรับขาจรทั่วไปคงจะไม่ค่อยหือไม่ค่อยอือเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับแฟนๆ พันธุ์หนักที่น่าจะดื่มด่ำกับสารคดีได้มากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะได้รู้ความเป็นมาของ Foo Fighters แบบจะๆ แล้ว ยังได้เห็นซีนดนตรีร็อคยุค '90 อีกด้วยแหน่ะ

หน้าตาของ ผกก.สารคดีเรื่องนี้
อีกสิ่งที่น่าประทับใจคือถึงแม้พวกเขาจะเป็นวงร็อคระดับโลก แต่ก็ให้ความสำคัญต่อครอบครัวของตนเสมอ โดยเฉพาะเฮีย Grohl ผู้เป็นแกนหลักของวง ซึ่งมีอยู่ตอนหนึ่งที่ต้องปลีกตัวกลางคันจากการบันทึกเสียงที่กำลังติดพัน เพราะต้องพาลูกสาวสุดที่รักไปเล่นน้ำตามที่เคยให้สัญญาไว้ ก่อนจะรีบแจ้นกลับมาบันทึกเสียงกันต่อชนิดผมยังไม่ทันแห้งดีเลย และเฮียยังอุตส่าห์ทิ้งท้ายสารคดีไว้แบบฮาๆ ว่า "นี่ถ้าผมรู้ว่าวงจะมาได้สวยขนาดนี้นะ คงไม่ตั้งชื่อวงเห่ยๆ ว่า Foo Fighters ตั้งแต่แรกหร๊อก" (ฮ่าฮ่า)
  • + เป็นสารคดีเกี่ยวกับความเป็นมาของ Foo Fighters ที่แฟนๆ หรือผู้ที่อยากทำความรู้จักกับวงนี้มากขึ้นไม่ควรพลาดเลยเชียว
  • - สำหรับขาจรทั่วไปก็คงจะเห็นเป็นแค่สารคดีวงดนตรีธรรมดาๆ นั่นแหล่ะ




*ช่วงเพลงในหนัง*

ปัจจุบันนี้พวกเขากลายเป็นวง 5 หน่อไปซะแล้ว
หลายคนที่กำลังดูสารคดีเรื่องนี้คงจะคิดกันอยู่เลยว่าทำไมไม่เห็นนาย Krist Novoselic อดีตมือเบสของ Nirvana โผล่มาให้สัมภาษณ์ถึงเฮีย Grohl เพื่อนเก่าบ้างหนอ แต่แล้วในตอนหนึ่ง Novoselic ก็โผล่มาร่วมบันทึกเสียงโดยเล่นเบสให้เพลง I Should Have Known ที่อยู่ในอัลบั้ม Wasting Light ซะด้วย ซึ่งแม้จะโผล่มาให้เห็นแป๊บๆ แต่สำหรับคนที่เป็นแฟนเพลงของ Nirvana คงได้เป็นปลื้มกันมากมายที่ได้เห็น Novoselic กับ Grohl กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง (แม้จะแค่เพลงเดียวก็เหอะ) ว่าแล้วเราก็มีเพลงนี้มาให้ฟังอีกทีซะเลยจ้า

MP3: Foo Fighters - I Should Have Known


*รีวิวสารคดีดนตรีเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Your Highness (2011): ศึกอัศวินคู่สู้เพื่อเมีย


Your Highness (2011) :
สองหน่อ Danny McBride และ James Franco เข้าคู่เข้าขากันได้ดีในหนังตลกเรทอาร์ที่ฮิตเกินคาดอย่าง Pineapple Express (2008) ว่าแล้ว ผกก.David Gordon Green ก็เลยขอดันทั้งคู่ขึ้นมาเป็นพระเอกแบบเน้นๆ บ้าง (แล้วอิตา Seth Rogen ไม่มากับเขาด้วยเร๊อะ?) ในผลงานเรื่องล่าสุดของเขานี้ ที่ขอพาย้อนไปฮาทะลึ่งทะเล้นติดเรทกันถึงยุคอัศวินขี่ม้ากุบกับ ฟันดาบโช๊งเช้ง แถมมีพ่อมด สัตว์ประหลาด มาแฟนตาซีกันน่าดูเชียว


สองคนนี้เกี่ยวก้อยกันมาป่วนโลกแฟนตาซี
หนังเสนอเรื่องราวการผจญภัยของเจ้าชายสองพี่น้องที่นิสัยต่างกันราวฟ้ากับเหว (Franco เล่นเป็นพี่ชาย McBride?!) ซึ่งมีภารกิจสุดอันตรายในการตามไปช่วยเจ้าสาวยังจิ้นของผู้พี่ (Zooey Deschanel) ที่โดนพ่อมดร้ายจับตัวไปเตรียมปล้ำเพื่อหวังครอบครองโลก (อ่ะนะ) โดยระหว่างทางสองพระเอกเรายังได้รับการช่วยเหลือจากนักรบสาวสุดเซ็กซี่ (Natalie Portman) มาต่อสู้ฟาดฟันกับเหล่าร้ายที่คอยผจญตลอดทริปนี้อีกด้วย


สาว Portman ในมาดสาวสวยสังหาร
ถึงจะเป็นหนังตลกเรทอาร์ไม่มีซีเรียส แต่ก็ต้องขอชมว่าหนังมีงานสร้างออกมาไม่กิ๊กก๊อกเลย เพราะฉากเฉิก เสื้อผ้า หน้าผม เอฟเฟกต์ ต่างๆ ดูดีทีเดียว แถมคิวบู๊ทั้งหลายก็ออกมาโหดไม่เหยาะแหยะและทะลึ่งทะเล้นกันหอมปากหอมคอสมกับเรทอาร์ที่หนังมีอีกด้วย (เสียใจด้วยนะหนุ่มๆ ที่งานนี้สองนางเอกเราคงไม่ได้โป๊ให้เห็นหรอกเน้อ) ส่วนมุกตลกก็พอดูกันได้ขำๆ เพลินๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก (เพราะไม่มีอะไรให้คิด)

แหม เฮียเราได้คั่วสาวสวยระดับเจ้าของรางวัลออสก้าร์ซะด้วย
ทราบมาว่าผู้สร้างมีแค่พล็อตและเส้นเรื่องคร่าวๆ แล้วให้นักแสดงด้นบทพูดสดๆ กันเองซะเป็นส่วนใหญ่ (เหมือนหนังไทยบางเรื่องเลย เหอๆ) ดังนั้นบทสนทนาของหนังจึงปนกันมั่วไปหมดทั้งภาษาโบราณและคำสบถในปัจจุบัน เลยต้องใช้เสน่ห์กับความสามารถเฉพาะตัวของนักแสดงพอดู ซึ่งก็ยังดีที่สองพระเอกเราสอบผ่านทำหน้าที่ได้ดีไม่เสียเส้น ที่สำคัญคือดาราเยอะมากกก เรื่องนี้


หน้าตาไม่น่าเป็นพระเอกเลยจริงๆ
แต่การที่มีดาราเยอะ ทว่าไม่ค่อยมีอะไรให้ได้ทำมากนัก (โดยเฉพาะสาว Deschanel ที่ทำได้เพียงทำหน้าแบ๊วไปวันๆ) พอมาเจอเรื่องราวที่ทำได้ในระดับแค่ดูขำๆ เพลินๆ ทะลึ่งๆ ดูแล้วก็แล้วกันไป ก็เลยอาจทำให้หลายคนผิดหวังเอาได้ง่ายๆ แต่เอาน่า ถ้าไม่คาดหวังกับหนังมากนัก ท่านก็จะพบว่าหนังให้ความบันเทิงได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ดูแล้วจึงบอกต่อจ้า
  • + เป็นหนังตลกเรทอาร์ในคราบหนังยุคแฟนตาซี ที่งานสร้างดูดี ดารามากมี ดูกันได้ขำๆ เพลินๆ
  • - ดาราเยอะแต่ใช้ไม่ค่อยคุ้ม กับเรื่องราวที่งั้นๆ ไม่โดดเด่น ดูแล้วก็แล้วกันไป




*รีวิวหนังตลกเรทอาร์ทะลึ่งทะเล้นเรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจภายในบล็อก*

The 27 Club: 15 ศิลปินเพลงผู้จากไปตอนอายุ 27 ขวบ


อันคนเราต้องตายกันทุกคนนั้นเป็นข้อเท็จจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสมอเมื่อมีผู้ที่จากไปก่อนเวลาอันสมควร โดยเฉพาะบรรดาศิลปินคนดังระดับโลกทั้งหลายผู้จากไปในขณะที่กำลังหนุ่มสาวและโด่งดังสุดๆ จนกลายเป็นตำนานที่ไม่มีวันตายมาจนทุกวันนี้ ซึ่งล่าสุดก็คงจะเป็นในรายของ Amy Winehouse ที่เพิ่งจากไปเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ในขณะที่เธอมีอายุได้เพียง 27 ขวบเท่านั้น


แล้วก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่มีศิลปินเพลงระดับโลกเสียชีวิตในขณะที่มีอายุ 27 ขวบ ซึ่งก็มีอยู่หลายคนมากๆ ซะจนมีคนตั้งทฤษฎี 'คำสาปหมายเลข 27' ขึ้นมาเพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์อันช่างบังเอิญนี้ ว่าเลขนี้เป็นเลขอัปมงคลซึ่งจะนำโชคร้ายมายังบุคคลที่ต้องคำสาป (คล้ายความเชื่อเรื่องเบญจเพสของคนไทยเรา) และยังมีการตั้ง 'The 27 Club' ไว้สำหรับบรรดาศิลปินเพลงที่จากไปในวัย 27 ขวบอีกด้วย ซึ่งจะมีใครอยู่ในคลับนี้บ้างนั้น เราได้คัดมาบางส่วนมาเล่าสู่กันฟังพร้อมเพลงแนะนำของศิลปินนั้นๆ ไปดูกันเลยจ้า


Robert Johnson
ถูกฆาตกรรม (16 ส.ค.1938)
สมาชิกรายแรกๆ ของคลับนี้ได้แก่ศิลปินบลูส์ในตำนานชาวมะกัน ที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในมือกีต้าร์ฝีมือแจ่มที่สุดตลอดกาล และเป็นอิทธิพลให้ศิลปินเพลงดังๆ มาจนทุกวันนี้ สำหรับตำนานของเขานั้นก็มีมากมายชวนสับสน แต่ที่เด่นๆ ก็คือเรื่องที่เขาขายวิญญาณให้ซาตาน ณ สี่แยกในมิสซิสซิปปี้ เพื่อแลกกับฝีมือการเล่นกีต้าร์สุดเทพ และการเป็นเสือผู้หญิงของเขา ที่ดันไปกิ๊กกับสาวที่มีสามีเข้าให้ จนถูกฝ่ายสามีสุดหึงลอบวางยาพิษในขวดเหล้าที่เขาดื่มนั่นเอง

MP3: Robert Johnson - Love In Vain




Brian Jones แห่ง The Rolling Stone
จมน้ำตาย (3 ก.ค.1969)
สมาชิกยุคก่อตั้งของวงร็อคในตำนาน The Rolling Stone ผู้นี้มีความสามารถเชิงดนตรีรอบทิศเพราะเล่นเครื่องดนตรีได้หลากหลายชนิด แต่เพราะปัญหาสุขภาพและความรู้สึกเหินห่างทำให้เขาออกจากวงไปในปี 1969 หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นขี้เหล้าเมายาจนถูกตำรวจจับหลายครั้งในข้อหาครอบครองยาเสพติด สุดท้ายเขาถูกพบเป็นศพในสระว่ายน้ำซึ่งสันนิษฐานกันว่าจมน้ำตายเพราะเมาปลิ้น จนท.ชันสูตรศพรายงานว่าเขาตายเพราะอุบัติเหตุ แต่บางคนก็บอกว่าเขาถูกฆาตกรรมต่างห่าง





Jimi Hendrix
เสพยาเกินขนาด (18 ก.ย.1970)
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในมือกีต้าร์สุดเทพที่สุดตลอดกาล ในเวลาเพียง 7 ปี เขาให้กำเนิดเพลงในตำนานอย่าง 'Purple Haze', 'Foxy Lady', เป็นศิลปินหลักในเทศกาลวู้ดสต๊อก, เริ่มเทรนด์ฟาดกีต้าร์บนเวที ฯลฯ เขาตายเพียงไม่กี่อาทิตย์ก่อน Janis Joplin ในปี 1970 ที่แฟลตของแฟนสาวในลอนดอน เนื่องจากใช้ยานอนหลับกับไวน์เกินขนาด และสำลักอ้วกตนเองจนขาดอากาศหายใจตาย (อนาถมาก) ทิ้งสตูดิโออัลบั้มเพียงสามชุดไว้เป็นตำนานมาจนทุกวันนี้

MP3: Jimi Hendrix - Foxy Lady




Janis Joplin
เสพยาเกินขนาด (4 ต.ค.1970)
ลิงก์นี่ก็ตามทั่น Hendrix มาแบบติดๆ สำหรับศิลปินสาวฮิปปี้จากเท็กซัสรายนี้ เธอสร้างสรรเพลงคลาสสิกอย่าง 'Me and Bobby McGee', 'Mercedes Benz', 'Piece of My Heart' และสี่อัลบั้มกับวงแบคอัพของเธอ แต่เพราะการใช้ยาเสพติดอย่างหนัก ทำให้เธอเสียชีวิตเพราะเสพเฮโรอินเกินขนาด ณ โรงแรม แลนด์มาร์ค มอเตอร์ โฮเตล ในลอสแองเจิลลิส เธอได้ทิ้งเสียงขับร้องสไตล์ บลูส์/ไซคีเดลิค ไว้เบื้องหลังและได้เป็นผู้แผ้วทางให้กับผู้หญิงบนเส้นทางสายดนตรีร็อคนับแต่นั้นเป็นต้นมา

MP3: Janis Joplin - Mercedes Benz



Jim Morrison แห่ง The Doors
หัวใจล้มเหลว แต่ก็ไม่มีการชันสูตรศพอย่างเป็นทางการ (3 ก.ค.1971)
ด้วยผลงาน 6 อัลบั้ม เจ้าของผลงานเพลงอย่าง 'Light My Fire' และ 'People Are Strange' Jim Morrinson ฟร้อนท์แมนของวงเสพยาอย่างหนัก และเสียชีวิตในอ่างอาบน้ำ ณ อพาร์ทเม้นท์ของเขาที่กรุงปารีส แต่มีการคาดเดากันว่าเขาโอเวอร์โดสตั้งแต่ตอนอยู่ในคลับบางแห่งมาก่อนแล้ว จึงมีคนหิ้วมาทิ้งไว้ในอ่างอาบน้ำ บ้างก็ว่าเขาหัวใจวายตาย โดยในใบมรณะบัตรของเขาระบุถึงสาเหตุการตายไว้ว่า 'ตายโดยสาเหตุทางธรรมชาติ' และเพราะไม่มีการชันสูตรพลิกศพ ทำให้การตายของเขาเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้ แต่ที่น่าแปลกใจก็คืออีกสามปีต่อมาแฟนสาวของเขาก็มาตายเพราะเสพเฮโรอินเกินขนาดในวัย 27 ขวบเหมือนกัน (ป๊าด?!)

MP3: The Doors - Light My Fire



David Alexander แห่ง The Stooge
โรคพิษสุราเรื้อรัง (10 ก.พ.1975)
Iggy Pop และพลพรรค The Stooge จากมิชิแกน นำกระแสพังค์ร็อคในปลายทศวรรษที่ '60 ไปยันต้น '70 ด้วยสามอัลบั้มสุดเด็ด ส่วนมือเบสของวง David Alexander ก็เขียนเพลงให้วงซะหลายเพลงอาทิ 'Little Doll' และ 'Dirt' แต่ก็ถูกไล่ออกจากวงในปี 1970 เพราะเขาเมาปลิ้นเกินไปที่จะเล่นกิ๊กในมิชิแกน ส่งผลให้เขารับไม่ได้และเริ่มดื่มอย่างหนัก จนตับอักเสบและน้ำท่วมปอดเสียชีวิตไปในที่สุด

MP3: The Stooge - Little Doll




Pete Ham แห่ง Badfinger
ฆ่าตัวตาย (24 เม.ย.1975)
นักร้องนำของวงจากเวลส์ Badfinger นาม Peter Ham สร้างสรรเพลงแนวพาวเวอร์ บัลลาด โดนๆ ออกมามากมายในต้นยุค '70 และได้เซ็นสัญญาเข้าสังกัด Apple Records ของวง The Beatles ซะด้วย แต่เพราะปัญหาทางการเงินและการจัดการทำให้ Ham ถังแตกปนสติแตก และหลังจากพยายามจะเคลียร์ปัญหากับ ผจก.วง เขาก็ผูกคอตายในบ้าน สามวันก่อนจะครบรอบวันเกิดอายุ 28 ขวบของเขา โดยทิ้งแฟนสาวที่กำลังตั้งท้องไว้เบื้องหลัง ซึ่งเธอก็ได้ให้กำเนิดลูกสาวในอีกสามเดือนต่อมา

MP3: Badfinger - Without You




Chris Bell แห่ง Big Star
อุบัติเหตุทางรถยนต์ (27 ธ.ค.1978)
Chris Bell ใช้ความสามารถเชิงแต่งเพลงและกีต้าร์ประเคนเพลงเด็ดๆ ให้แก่อัลบั้มชุดแรกของวงจากเมมฟิสวงนี้ในปี 1972 ซึ่งก็เป็นเขานี่แหล่ะที่ชักชวน Alex Chilton นักร้องนำเข้ามาร่วมวงตั้งแต่ทีแรก จนได้สร้างสรรเพลงระดับตำนานมากมายขึ้นมาในต้นยุค '70 แต่แล้ว Bell ก็จิตตก และเริ่มใช้เฮโรอินเพราะรู้สึกว่าโดน Chilton แย่งความเด่นไปหมด ทว่าเป็นเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ต่างหากที่คร่าชีวิตเขาไป ในคืนหนึ่งขณะที่กำลังกลับจากร้านอาหารของพ่อเขาในเมมฟิส รถของ Bell สูญเสียการควบคุมและชนเข้ากับเสาโทรศัพท์อย่างจังจนเขาเสียชีวิตคาที่ ส่วนงานศพของเขาจัดขึ้นถัดจากวันเกิดของ Chilton นั่นเอง

MP3: Big Star - Thirteen




D. Boon แห่ง Minutemen
อุบัติเหตุทางรถยนต์ (23 ธ.ค.1985)
Dennes Boon ฟอร์มวงพั้งค์ที่ชื่อ Minutemen ร่วมกับ Mike Watt ขึ้นมาในปี 1980 แต่วงของเขาแตกต่างจากวงพั้งค์ทั่วไปในยุคนั้น เพราะไม่ได้เน้นไปที่เสียงกีต้าร์แตกพร่า จึงเป็นความโดดเด่นกว่าชาวบ้านเขา แล้วในขณะที่นั่งอยู่ในด้านหลังของรถตู้ ณ อริโซน่า รถดันไถลออกนอกถนน Boon ที่ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยเลยกระเด็นออกประตูหลังและตายทันที ด้วยผลงานสี่อัลบั้ม Boon ให้กำเนิดพั้งค์ร็อคสายพันธุ์ใหม่ และเป็นอิทธิพลให้แก่นักดนตรีรุ่นหลังมาเป็นทศวรรษๆ หลังจาก Boon ตาย ทางวงก็ยุบวงไปโดยปริยาย แต่ Watt ยังคงอุทิศทุกโปรเจ็คท์ที่เขาทำให้แก่เพื่อนผู้จากไปรายนี้ตลอดมา

MP3: Minutemen - Corona




Mia Zapata แห่ง The Gits
ถูกฆาตกรรม (7 ก.ค.1993)
Zapata ฟอร์มวงพั้งค์วงนี้ขึ้นมาตอนเรียนมหาวิทยาลัยใน โอไฮโอ ปี 1986 แล้วย้ายมาทำการที่ซีแอตเทิลในปี 1989 ซึ่งสมัยนั้นคือเมกกะแห่งวงการเพลงร็อค โดยวงของเธอที่ออกอัลบั้มมาหนึ่งชุดกำลังจะออกชุดสองมารอมร่อแล้ว แต่แล้วเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นในคืนหนึ่งเมื่อเธอกำลังกลับจากบาร์ไปยังบ้าน ก็ถูกชายลึกลับลากเธอไปข่มขืนแล้วฆ่า หลายปีต่อมาในที่สุดตำรวจก็จับตัวคนร้ายที่ชื่อ Jesus Mezquia ได้ และถูกพิพากษาจำคุกทั้งสิ้น 36 ปี

MP3: The Gits - Spear and Magic Helmet




Kurt Cobain แห่ง Nirvana
ฆ่าตัวตาย (5 เม.ย.1994)
Cobain ฟร้อนท์แมนของ Nirvana สร้างเพลงชาติของวัยรุ่นยุค '90 อย่าง 'Smells Like Teen Spirit' ขึ้นมาในอัลบั้มชุดที่สองของทางวงอย่าง 'Nevermind' ในปี 1991 ซึ่งมันได้เปลี่ยนรูปร่างของอุตสาหกรรมดนตรีและฝากรอยจารึกที่ไม่มีวันลบออกจากประวัติศาสตร์ดนตรี ทว่าเขาไม่สามารถทนรับมือกับชื่อเสียง ภรรยาของเขา (ฮ่วย!?) และการติดเฮโรอินได้ จนตัดสินใจปลิดชีวิตตนเองด้วยปืนไรเฟิล แต่ผ่านมาแล้วร่วมทศวรรษเขาก็ยังเป็นที่จดจำและกล่าวขานถึงจากแฟนเพลงรุ่นหลังอยู่เรื่อยมา

MP3: Nirvana - Smells Like Teen Spirit




Kristen Pfaff แห่ง Hole
เสพยาเกินขนาด (16 มิ.ย.1994)
Pfaff ย้ายจาก มินเนโซต้าไปยังซีแอตเทิล เพื่อร่วมวง Hole ในการอัดเสียงชุด 'Live Through This' และเพราะที่นั่นมีเฮโรอินเป็นยาสามัญประจำบ้าน เธอก็เลยติดมันเข้าอย่างจังในเวลารวดเร็ว และหลังจากเข้ารับการบำบัดในปี 1993 และไปร่วมทัวร์กับวงอื่นสักระยะ คืนก่อนที่เธอจะกลับไปมินนิอาโพลิส เธอก็ตายเพราะเสพเฮโรอินเกินขนาดในห้องน้ำ ซึ่งก็เป็นแค่สองเดือนให้หลังของการจากไปของ Kurt Cobain เพื่อนซี้ของเธอเอง

MP3: Hole - Doll Parts




Richey James Edwards แห่ง Manic Street Preachers
หายสาบสูญ (แทงจำหน่ายว่าตายเมื่อ 23 พ.ย.2008)
ด้วยแรงบันดาลใจจากสงครามกับความหดหู่ ยาเสพติด เหล้า และการทำร้ายร่างกายตนเอง มือกีต้าร์และมือเขียนเพลงแห่งวง Manic Street Preachers เลยเขียนเพลงที่มีเนื้อหาที่กล่าวถึงความทุกข์ทรมานของชีวิตเขา ในวันที่เขาจะต้องบินไปอเมริกากับเพื่อนร่วมวง Edwards หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยและไม่เคยมีใครพบเห็นเขาอีกเลย (บางคนเดาว่าเขาโดดสะพานตาย) แต่ครอบครัวของเขาก็ยังไม่อยากยอมรับว่าเขาได้จากไปแล้วจริงๆ จนกระทั่งปี 2008 จึงได้ออกมาประกาศว่าเขาตายแล้ว MSP ยังคงออกอัลบั้มต่อในฐานะวงทรีโอ และในอัลบั้ม 'Journal for Plague Lovers' เมื่อปี 2009 ก็ยังคงใช้เนื้อเพลงที่ Edwards แต่งไว้อีกด้วย

MP3: Manic Street Preachers - She Is Suffering




Jeremy Michael Ward แห่ง The Mars Volta
เสพยาเกินขนาด (25 พ.ค.2003)
Ward เริ่มต้นกับวงชื่อ 'De Facto' กับเพื่อนซี้ Omar Rodriguez-Lopez ทั้งคู่หันมาตั้งวงร็อคแนวทดลอง 'The Mar Volta' ซึ่ง Ward ทำหน้าที่แทบจะครอบจักรวาลในอัลบั้มชุดแรกสุดขายดีของทางวงที่ชื่อ 'De-Loused in the Comatorium' ที่ออกมาในปี 2003 และก็เป็นไปตามฟอร์มที่นักดนตรีร็อคต้องคู่กับเฮโรอิน ในขณะที่ทางวงกำลังทัวร์ร่วมกับวง Red Hot Chilli Peppers เขาก็เสพยาเกินขนาดตายที่บ้านใน แอลเอ ซึ่งการตายของเขาก็ทำให้บรรดาเพื่อนร่วมวงตัดสินใจเลิกยากันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

MP3: The Mars Volta - Drunkship of Lanterns




Amy Winehouse
รอระบุสาเหตุการตายอย่างเป็นทางการ (23 ก.ค.2011)
มาถึงสมาชิกคลับ 27 คนล่าสุดคนนี้ ซึ่งเป็นนักร้องสาวชาวอังกฤษผู้มีพรสวรรค์ในการขับร้องเพลงแนว R&B, Soul, Jazz ซึ่งเธอก็ประสบความสำเร็จทันทีตั้งแต่ออกอัลบั้มชุดแรกที่ชื่อ Frank (2003) แล้ว และชุดต่อมา Black to Black (2006) ก็ยังไปได้สวยมากจนซิวรางวัลแกรมมี่มาซะห้ารางวัล เรียกได้ว่าเธอเป็นนักร้องหญิงชาวอังกฤษที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งแห่งยุคเลยทีเดียว แต่เพราะความที่เธอเป็นนักเที่ยวตัวยง และใช้ยาเสพติดอย่างหนัก ทำให้ชีวิตส่วนตัวเธอแย่ลงเรื่อยๆ และถูกพบเป็นศพในห้องนอนที่บ้านในวันที่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการไปถึงเตือนตุลาคมนี้

MP3: Amy Winehouse - Love Is a Losing Game



ยังมีศิลปินผู้ล่วงลับอีกหลายคนที่เราไม่ได้นำมากล่าวถึงในที่นี้ ไม่ว่าอาถรรพ์หมายเลข 27 จะเป็นจริงหรือเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้น คงไม่มีใครรู้ แต่ที่แน่ๆ คือคงไม่มีใครอยากจะเข้าเป็นสมาชิกคลับนี้นักหรอก ทว่าก็คงจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นแหล่ะนะ ซึ่งสำหรับเราแฟนเพลงแล้วก็คงจะขอจดจำและชื่นชมผลงานของพวกเขาต่อๆ ไปเป็นนิตย์จ้า


*แซวทิ้งท้าย*

แล้วคนนี้จะได้เข้าร่วมคลับ 27 ด้วยหรือไม่นั้น อีกสิบปีรู้กัน อิอิ




*คัดและแปลข้อมูลมาจาก spinner.com จ้า*