วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Hall Pass (2011): เมียใจดีปล่อยพี่ลั้ลลา



Hall Pass (2011) :
สองพี่น้อง Farrelly เคยได้ชื่อว่าทำหนังตลกเรทอาร์ได้ประสบความสำเร็จที่สุดในช่วงปลายยุค 90 จาก There's Something About Mary (1998) ที่กวาดเงินไปได้กว่า 369 ล้านทั่วโลก (ตอนนี้ถูก The Hangover ล้มแชมป์ไปแล้ว) แม้ว่าผลงานเรื่องหลังๆ ของพวกเขาจะไม่ตูมตามเปรี้ยงปร้างเท่าสมัยยังรุ่ง แต่ก็ยังทำเงินไว้ใจได้แบบไม่มีเจ๊งสักเรื่องเลยล่ะ


สองหนุ่มคู่ลั้ลลาประจำเรื่อง
และนี่คือผลงานล่าสุดของพวกเขา ที่เล่าเรื่องราวของ Rick (Owen Wilson) และ Fred (Jason Sudeikis) สองหนุ่มใหญ่คู่ซี้ซึ่งกำลังประสบภาวะชีวิตแต่งงานเหี่ยวเฉา เมียเหม็นเบื่อขี้หน้า ไอ้ครั้นจะแอบไปมีเมียน้อย มีกิ๊กให้หัวใจกระชุ่มกระชวยอีกครั้งก็ยังเคารพรักและเกรงใจคุณเมียอยู่ (กลัวเมียว่างั้นเหอะ) จึงได้แต่แอบเหล่สาวไปวันๆ ตามประสาคนมีเมียมาคุม เมียมาคุ๊มเมียมาคุม


ก็คุณผัวเป็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้คุณเมียละเหี่ยใจได้ยังไงล่ะเนอะ
แต่แล้วก็สวรรค์โปรดเมื่อวันหนึ่งจู่ๆ คุณเมียของทั้งคู่ก็ได้ไอเดียบรรเจิด พร้อมใจกันอนุญาตให้สองหน่อของเรา 'ลากิจจากการเป็นผัว' ไปใช้ชีวิตแบบคนโสดอีกครั้งเสียให้เข็ดเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ให้ทั้งคู่ได้ลั้ลลากันเต็มที่ และทำชีวิตตนให้เป็นเขตปลอดเมียอีกครั้ง แล้วเรื่องราววุ่นๆ ป่วนๆ ฮาๆ ตามสไตล์สองพี่น้อง Farrelly ก็ตามมาอีกเพียบเลยล่ะงานนี้

หนังเรื่องนี้เหมาะกับบรรดาคู่ผัวตัวเมียที่อยู่กันมานานๆ แล้วจริงๆ
ฟังจากพล็อตแล้วหนังเหมือนจะมีไอเดียเด็ด ที่น่าจะเล่นมุกฮากันได้เต็มที่ แถมดาราก็เด็ดดวง แต่ปรากฏว่าหนังทำออกมาแค่ระดับขำๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ ลูกบ้าก็ไม่เต็มที่แบบผลงานในอดีตของสองพี่น้องเขา เรียกได้ว่าค่อนข้างจะเป็นหนังของ ผกก.คู่นี้ที่เรียบร้อยพอสมควร แต่หนังโดยรวมก็ยังอยู่ในระดับที่ดูได้ดูดี เหมาะสำหรับคนในวัยที่มีครอบครัวแล้ว เพราะหนังก็มีแง่คิดในเรื่องนี้ให้อยู่พอสมควรนะขอบอก

ดูรูปขวาก็รู้ว่าสองหนุ่มอยู่ในเผ่า 'เกลียมัว'
ถึงดูเผินๆ เหมือนหนังจะมาพร้อมด้วยประเด็นฉาวประเด็นแรง อย่างการที่คุณแม่บ้านเห็นดีเห็นงามในการปล่อยให้สามีไปลั้ลลาทั้งที่มีลูกมีเมียเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว แต่ว่าจริงๆ แล้วหนังฮอลลีวู้ดน่ะเขาแสนจะอนุรักษ์นิยมจะตายไป เพราะสุดท้ายแล้วหนังก็พร่ำสอนศีลธรรมให้เห็นถึงคุณค่าของการมีผัวเดียวเมียเดียว ความซื่อสัตย์ต่อคู่ครองนะคร้าบพ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย
  • + เป็นหนังตลกสำหรับคนมีครอบครัว หรือชายชาวเผ่าเกลียมัว (กลัวเมีย) ทั้งหลาย ที่ดูได้พอขำๆ มีแง่คิดติดปลายนวมมาด้วยนะเออ
  • - ไม่ฮา ไม่บ้า เท่ากับผลงานเก่าๆ ของ สองผกก.เขา เลยค่อนข้างจะจืดไปนิดนะจ้ะ



*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของเฮีย Owen Wilson ภายในบล็อก*




วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Kung Fu Panda 2 (2011): แพนด้า ซ่าได้อีก




Kung Fu Panda 2 (2011) :
ภาคแรกที่ออกฉายปี 2008 กวาดเงินไปได้ 600 กว่าล้านเหรียญทั่วโลก ฮิตเถิดเทิงซะขนาดนั้น เลยส่งผลให้พี่อ้วนพริ้ว Jack Black (Gulliver's Travels [2010]) กลายเป็นขวัญใจคุณหนูๆ ไปในบัดดล ว่าแล้วก็ต้องมีภาคสองออกมาโกยเงินอีกตามระเบียบนะคร้าบ


จอมยุทธุ์แพนด้าและพรรคพวกมาแล้วจ้า
ภาคนี้ทีมงานชุดเดิมกลับมากันครบชุด จะต่างกันก็เพียงแต่การเปลี่ยน ผกก.จากคู่หู John Wayne Stevenson กับ Mark Osborne มาเป็น ผกก.หญิงชาวมะกันเชื้อสายเกาหลี Jennifer Yuh Nelson ที่ได้เลื่อนขั้นขึ้นจากการเป็นทีมอนิเมชั่นในภาคแรก จนได้ชื่อว่าเป็น ผกก.หญิงรายแรกของหนังอนิเมชั่นระดับบิ๊กของฮอลลีวู้ดเชียวนะ

ดูสนุกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ (ใจเด็ก)
ภาคนี้เจ้าหมีตอน Po และพวกพ้องต้องเผชิญกับศัตรูรายใหม่คือท่านอ๋อง Shen (ให้เสียงโดย Gary Oldman จาก The Dark Knight [2008]) ที่มาพร้อมอาวุธมหาประลัยที่หาคนเทียมทานไม่ โดยเขาหวังจะใช้มันยึดครองแผ่นดินจีน และทำลายกังฟูให้สิ้นซาก ในขณะเดียวกันหนังก็ได้เฉลยคำถามที่เด็กๆ ทั่วโลกพากันสงสัยมานานว่า "ทำไมห่านถึงมีลูกเป็นแพนด้า (จอมตะกละ) ได้ล่ะเนี่ย?" ให้กระจ่างด้วยจ้า


ตัวร้ายในภาคนี้
คงต้องบอกว่าหนังภาคนี้ยังคงทำออกมาได้สนุกสนานและเปี่ยมเสน่ห์เหมือนเดิม หนังใช้การนำเสนอในแบบซีจีสลับกับในแบบการ์ตูนลายเส้นได้อย่างแจ่มแจ๋ว สีสันสดใสสวยงาม แถมยังมีความละเอียดไม่สุกเอาเผากินสมกับทุน 150 ล้านเหรียญ และการที่มี ผกก.เป็นผู้หญิงก็ส่งผลให้หนังเหนือกว่าภาคแรกอยู่นิดในด้านดราม่าเค้นอารมณ์ที่อาจจะเล่นเอาน้ำตาซึมกันได้ง่ายๆ เลยทีเดียว


อ.ชิฟูยังกลับมาเก๊กเช่นเดิม
แต่การที่หนังต้องรีบจบภายใน 90 นาที (เพราะเชื่อว่าคุณหนูๆ คงทนอยู่ในโรงหนังนานเกินกว่านั้นไม่ได้) นั้นก็ทำให้หนังบางช่วงดูปุบปับ รวบรัดไปบ้าง ซึ่งนั่นก็คงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร เพราะเท่านี้ก็ถือว่าเป็นอนิเมชั่นที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี น่าพอใจเอามากๆ แล้วล่ะเนอะ ว่ามั้ย? อ่อ หนังทิ้งเชื้อไว้สำหรับภาคต่อด้วย เตรียมตัวเฮต่อในภาคสามกันได้เลยเน้อ


มากันครอบเซ็ทเชียว
ในหนังยังมาพร้อมกับข้อคิด สอนใจ อย่างเช่นการเป็นตัวของตัวเองในภาคแรก และการปล่อยวางในภาคนี้ ที่สอนว่าเราไม่ควรโทษฟ้าดิน พ่อแม่ หรือคนอื่นๆ ที่ทำให้เราต้องเผชิญความยากลำบากในชีวิต เพราะสุดท้ายแล้วก็อยู่ที่เราเองต่างหากที่จะเลือกทางเดินของเรา ชะตาของเรา และคนที่เราจะเป็น พี่หมาแพนดี้ หมีแพนด้า เค้าสอนไว้นะเออ พ่อแม่พี่น้อง อิอิ

ปล.หนังฉบับพากย์ไทยพากย์ได้ดีมาก ดูแล้วไม่เสียเซลฟ์แน่นอนจ้า

  • + สนุกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาคแรก และเจ๋งกว่าในด้านดราม่าอีกต่างหาก
  • - บางช่วงดูปุบปับฉับฉึ้กไปบ้างตามสไตล์หนังการ์ตูนที่ต้องรีบจบไวๆ



*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของพี่ตุ้ย Jack Black ภายในบล็อก*


วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

We Are the Night (2010): สวย เริ่ด เชิด กัด!




We Are the Night (2010) :
ปกติหนังแวมไพร์ก็เป็นที่นิยมในหมู่คอหนังสยองขวัญกันมาช้านานแล้ว แต่พอมาถึงยุค Twilight Saga ครองเมือง หนังแนวนี้ก็ได้รับความนิยมในวงกว้างมากขึ้นไปอีก และมีการสร้างออกมาให้ดูกันมิขาดสายซึ่งก็มีทั้งดีบ้างห่วยบ้างคละเคล้ากันไปตามยถากรรม


ก๊วนแวมไพร์พันธุ์เริ่ด
และหนังแวมไพร์จากเยอรมันเรื่องนี้ก็เช่นกัน ที่คงถูกมองว่าถูกสร้างตามกระแสแวมไพร์ฟีเวอร์มากับเขาด้วย ซึ่งอันที่จริงแล้ว หนังค่อนข้างจะทำออกมาได้น่าสนใจพอดูทีเดียว แม้ว่าหน้าหนังและบางฉากบางบางอารมณ์จะชวนให้นึกว่าเป็น Sex and the City เวอร์ชั่นแวมไพร์อยู่บ้างก็ตาม


ความรักต้องห้ามระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์ (อีกแล้วครับทั่น)
หนังเล่าเรื่องของ Lena สาวน้อยนักล้วงกระเป๋าและลักเล็กขโมยน้อยที่จับพลัดจับผลูถูกแก๊งค์แวมไพร์สามสาวสุดเริ่ดชักชวนเข้าร่วมก๊วนแวมไพร์ โดยมีการดำเนินชีวิตสุดไฮโซแสนสะดวกสบายเข้ามาล่อใจให้หลงใหลได้ปลื้ม แต่แล้วก็มีตำรวจหนุ่มรายหนึ่งเกิดเข้ามาเป็นตัวแปรที่ทำให้สาวๆ แก๊งค์นี้ต้องงานเข้าชนิดไม่ไหวจะเคลียร์


หนังโดดเด่นในด้านบรรยากาศและวิช่วล
ผกก.Dennis Gansel ที่เคยมีผลงานคุณภาพอย่าง The Wave (2008) ขอหันมาทำหนังแวมไพร์กับเขาบ้าง โดยเน้นไปที่เรื่องราวของเหล่าแวมไพร์สาวๆ ชนิดที่หนุ่มๆ เป็นได้เพียงเหยื่อและไม้ประดับเท่านั้น ซึ่งหนังก็เปิดตัวขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจ และที่สร้างความแจ่มให้กับหนังขึ้นไปได้โขคืองานด้านวิช่วล เอฟเฟกต์สุดเนียน กับดนตรีเทคโนสไตล์ยุโรปทั้งหลายที่เสริมบรรยากาศให้หนังได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องขายฉากแหว่ะหรือโป๊ให้เสียลุคแต่อย่างใด


สาวๆ กำลังจัดปาร์ตี้น้ำแดงกันอย่างหนุกหนาน
แต่น่าเสียดายที่พอเลยครึ่งเรื่องไปหนังก็ค่อยๆ ลดความน่าสนใจลงไปกับเรื่องราวประมาณรักต้องห้ามระหว่างคนกับแวมไพร์ ที่ยังทำได้ไม่ค่อยโดนใจนัก ทว่าเมื่อหักลบกลบหนี้แล้วหนังก็ยังเป็นที่น่าพอใจอยู่ดี โดยเฉพาะการที่มีสาว Jennifer Ulrich ผู้งดงามได้โล่และยังเป็นตัวละครที่พอจะมีเนื้อมีหนังกว่าคนอื่นๆ ด้วย ซึ่งเท่านี้ก็พอจะทำให้เป็นปลื้มกันได้แล้วจ้า


สาวคนนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้
ถึง Twilight จะพยายามเปลี่ยนความคิดคนสมัยใหม่ให้เชื่อว่า แวมไพร์เป็นอะไรที่เท่ ไม่น่ากลัว และสามารถครองรักกับมนุษย์อย่างมีความสุขได้ในท้ายที่สุด แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะไม่ยอมคล้อยตามไปด้วยง่ายๆ เพราะหนังก็สรุปให้เห็นอีกครั้งว่า คนกับแวมไพร์นั้นไม่มีทางไปกันได้ และแวมไพร์ก็เป็นอะไรที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว เดียวดาย ไม่มีทางมีความสุขกับชีวิตอมตะของตนได้อย่างแน่นอน สรุปว่าเป็นคนอย่างเราๆ ท่านๆ น่ะดีที่สุดแล้วจ่ะ พี่น้อง จุ๊บๆ

  • + เป็นหนังแวมไพร์สาวๆ ที่ทำได้ดี เอฟเฟกต์แจ่ม เต็มไปด้วยสาวๆ สวยๆ โดยเฉพาะหนู Jennifer Ulrich ที่เจิดจรัสเกินหน้าชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง
  • - หนังเล่นกับเรื่องราวเกี่ยวกับความรักต้องห้ามเลยทำให้ลดความน่าสนใจลงไปพอควร แถมในช่วงนี้ก็ยังทำได้ไม่ค่อยดีนักอีกด้วย



*รีวิวหนังแวมไพร์ที่น่าสนใจเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*


วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

The Hangover Part II (2011): ก๊วนเมาปลิ้น ตะลุยกรุงเทพ




The Hangover Part II (2011) :
เพราะภาคแรกที่ออกมาเมื่อปี 2009 นั้นเกิดฮิตเกินคาด โดยกวาดเงินไปกว่า 467 ล้านเหรียญทั่วโลก รั้งตำแหน่งหนังตลกเรทอาร์ที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาล และได้รับคำชื่นชมจากคนดูและนักวิจารณ์อย่างท่วมท้น จนสามารถซิวรางวัลลูกโลกทองคำสาขาหนังเพลงหรือตลกยอดเยี่ยมมาครองได้สำเร็จ ส่งผลให้ทุกคนที่มีส่วนร่วมต่างได้ดิบได้ดีไปตามๆ กัน จึงไม่ต้องแปลกใจถ้าจะมีภาคสองออกมาให้ได้ดูกันอีก


ก๊วนเดิมมาตะลุยกรุงเทพแว้ว
ภาคนี้ยังคงมาพร้อมกับพล็อตเรื่องที่แทบจะถอดแบบมาจากภาคแรก ประมาณว่าพวกพระเอกต้องไปงานแต่งเพื่อน (ในภาคนี้คืองานของคุณหมอฟัน Stu) แล้วก็ดันเมาปลิ้น พอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็ดูเหมือนว่าจะทำคนในก๊วนหายไปอีกซะแล้ว (ในที่นี้คือน้องเมีย) จนต้องออกตามหากันให้วุ่น เพียงแต่ว่าภาคนี้ผู้สร้างขอย้ายทำเลมาเมาปลิ้นกันที่ประเทศไทยแดนสไมล์แทน โดยเน้นหนักกันที่กรุงเทพเมืองฟ้าอมรของเรานั่นเองจ้า


ริจะเล่นมุกพระก็ต้องเกรงใจกันเช่นนี้แล
ผกก.Todd Phillips จากภาคแรกยังกลับมารับหน้าที่กำกับอีกครั้ง ส่วนทีมนักแสดงหลักๆ จากภาคแรกก็มากันครบทีม ซึ่งงานนี้แฟนๆ จากภาคแรกคงจะมีเฮ ในขณะที่คนที่เพิ่งจะมาดูก็คงจะไม่เก็ตหลายมุกและต้องจับต้นชนปลายกันนิดหน่อยล่ะ ส่วนการที่หนังเล่นใช้พล็อตเดิมๆ ทางเดินเรื่องเดิมๆ แบบภาคแรกก็จึงทำให้สูญเสียความสดใหม่ไปอย่างน่าเสียดาย


เรื่องนี้ป๋า นิรุตต์ เราเท่มาก
ส่วนลำพังจะใช้โลเกชั่นในบ้านเราอย่างกรุงเทพหรือวิวสวยๆ ทางภาคใต้นั้นก็คงได้แค่ความสวยงามและความแปลกตาเท่านั้น เพราะตัวหนังเล่าเรื่องได้เฉยมาก คนที่เคยผ่านตาภาคแรกมาแล้วจะพบว่าภาคนี้สนุกน้อยลง บ้าน้อยลง ตลกน้อยลงไปซะงั้น ซึ่งเข้าใจว่าพอมาถ่ายทำในบ้านเราแล้วผู้สร้างคงพบว่ามีข้อห้ามยุ่บยั่บมากมาย เลยเล่นอะไรไม่ได้ตามใจนัก หนังเลยออกมากั๊กๆ เช่นนี้


งานนี้พี่ตุ้ย Zach Galifianakis วาดลวดลายแทบไม่ออกเลย
เหล่านักแสดงนำที่ถึงจะมากันครบทีม แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรให้น่าจดจำ แม้แต่จอมขโมยซีนจากภาคแรกอย่าง Zach Galifianakis ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ในขณะที่นักแสดงไทยเราที่ร่วมแจม ที่โดดเด้งที่สุดคงไม่พ้นป๋า นิรุตติ์ ศิริจรรยา ที่ทำหน้าที่ได้ดี มาดเท่ ไม่ทำให้เสียเส้นคนไทยแต่ประการใด (คนที่เล่นเป็นตำรวจก็ใช่ย่อย ว่าแต่ว่า เขาชื่ออะไรนะ? วานบอกที)


วิวกรุงเทพเรามีให้ดูกันจุใจเชียว
ถึงยังไงแล้ว หนังโดยรวมก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรมากมาย ก็ยังดูกันได้เรื่อยๆ อยู่ ถ้าไม่เอาไปเปรียบเทียบกับภาคแรก (มีใครจะไม่เอาไปเปรียบล่ะ?) เอาแค่การได้เห็นก๊วนเมาปลิ้นมาวาดลวยลายกันที่กรุงเทพ เท่านี้ก็น่าสนใจพอดูแล้ว แต่ว่าก็ว่าเหอะ ไหนๆ จะพาไปดูแหล่งอโคจรของบ้านเราแล้ว ไฉนไยใจร้ายพาไปดูเหล่า 'เลดี้บอย' (กระเทยแต่งหญิงที่ยังมีปิ๊กาจู้อยู่) ซะโตงเตงเต็มจอซะขนาดนั้น คนดูหนุ่มๆ คงถึงกับเซ็งและต้องมีตัดคะแนนหนังกันบ้างล่ะนะ เหอๆ

ล้อมวงดูอะไรกันอยู่จ้ะนั่น?
ส่วนคนที่กลัวว่าหนังจะเสนอภาพลักษณ์ในแง่ลบของบ้านเราก็สบายใจได้เลย เพราะมีแน่ (อ้าว?) แต่ทั้งนี้ผู้สร้างก็พยายามเสนอทั้งด้านสวยงามและด้านมืดของบ้านเราควบคู่คละเคล้ากันไปมิได้ลำเอียง และการเอาพระสงฆ์มาเล่นก็ได้ปรับเปลี่ยนให้เป็นพระสงฆ์ในนิกายอื่นไปเสีย เพื่อป้องกันการครหาจากคนไทย ซึ่งหนังก็คงทำให้ฝรั่งชาวต่างชาติอยากจะมาเที่ยวไทยมากขึ้นแน่นอน แต่ว่าเขาจะมาหาด้านมืดหรือด้านสวยงามนั้นก็ต้องว่ากันอีกทีล่ะเน้อ

ปล.Mason Lee หรือคนที่เล่นเป็นน้องเมียของ Stu ที่หายไป ตัวจริงเขาเป็นลูกชายของ Ang Lee ผู้กำกับชื่อดังจาก Brokeback Mountain (2005) เชียวนะ
  • + แฟนๆ จากภาคแรกคงยินดีที่ได้เจอพวกเขาอีกครั้ง และคราวนี้มาวาดลวดลายกันที่บ้านเราเสียด้วยสิ
  • - หนังออกมาเดิมๆ ไม่สนุกเท่า ไม่สดเท่า ไม่บ้าเท่าภาคแรก รอบที่ดูแทบจะไม่มีเสียงคนขำสักแอะเลยด้วยซ้ำ (ป๊าด!)





*ช่วงเพลงในหนัง*
เฮีย Mike Tyson มาครวญเพลงให้ฟังกันในภาคนี้ด้วย
และเหมือนกับภาคแรก หนังยังคงโดดเด่นเรื่องการเลือกเพลงมาประกอบ เพราะคัดกันมาแต่เพลงแหล่มๆ เหมาะกับสถานการณ์ของหนังทั้งสิ้น โดยตัวอัลบั้มก็มีออกมาสองเวอร์ชั่นคือแบบมีแต่เพลงเฉยๆ และแบบที่มีไดอาล็อกสั้นๆ จากหนังคั่นระหว่างเพลง

ซึ่งเพลงที่เด่นๆ ก็คงจะไม่พ้นการที่มี Mike Tyson มาครวญเพลง One Night In Bangkok แบบหลงๆ เพี้ยนๆ ในช่วงท้ายๆ ของหนัง แต่ที่จะลืมไม่ได้เลยคือการที่มีวงไทยอย่าง Sky Rangers โผล่ในหนังด้วย โดยเล่นเป็นวงดนตรีในงานแต่งช่วงท้ายเรื่อง ซึ่งในตัวอัลบั้มซาวน์แทร็คก็มีเพลงของพวกเขาอัดมาถึงสองเพลงด้วยกันเชียวนะ เรียกว่าได้โกอินเตอร์กันไปแล้วล่ะงานนี้ แจ่มไปเลยจ้า




*รีวิวหนังตลกสัปดนเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*