วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

When in Rome (2010): มนต์รักเศษสตางค์


When in Rome (2010) :
ถึงแม้สาว Kristen Bell (Forgetting Sarah Marshall [2008]) จะไม่ใช่ดาราที่โด่งดังแบบเป็นล่ำเป็นสันสักเท่าไรนัก แต่ก็นับว่าเป็นนักแสดงสาวที่มีงานชุกคนหนึ่งทีเดียว (แค่ปีนี้ปีเดียวเธอก็มีผลงานไม่ต่ำกว่า 4 เรื่องแล้ว) และนี่ก็คือผลงานที่กะขายเธอในบทนำแบบเต็มๆ เรื่องแรก ซึ่งถ้าหนังเกิดฮิตแบบเต็มๆ ล่ะก็ งานนี้เธอคงได้ดังเถิดเทิง ขึ้นแท่นว่าที่เจ้าแม่หนังโรแมนติคคอมเมดี้คนใหม่กันเป็นแน่เชียว

สาว Kristen Bell กับบทนำแนวกุ๊กกิ๊กเรื่องแรกของเธอ
เรื่องนี้เธอรับบทเป็น Beth สาวภัณฑารักษ์(ผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์)บ้างาน ที่ไม่เชื่อในรักแท้ แต่ลึกๆ แล้วเธอก็ยังโหยหามันอยู่ดี พอมีโอกาสได้ไปงานแต่งของน้องสาวที่อิตาลี เธอเลยเมาแอ๋ไปฉกเอาเหรียญในน้ำพุแห่งความรักมา 5 เหรียญ ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดการอัศจรรย์เมื่อบรรดาเจ้าของเหรียญเหล่านั้นพากันหลงเสน่ห์เธอไปตามๆ กัน และผลัดกันมารุมขอความรักเธอให้วุ่น ซึ่งนางเอกเราก็คงจะปลื้มหรอกนะ เพราะแต่ล่ะคนน่ะ เอิ่ม... เจ๊กินไม่ลงเลยจริงๆ

โฉมหน้าหนุ่มๆ ที่มาหลงรักนางเอกเรา
แต่ยังดีนะที่มีอยู่คนหนึ่งที่ยังเข้าตาอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ Nick (Josh Duhamel จาก Transformers [2007])หนุ่มหล่ออดีตนักอเมริกันฟุตบอลที่ปัจจุบันผันตัวมาเป็นนักข่าวกีฬา ซึ่งทั้งคู่ก็ปิ๊งปั๊งกันดีแบบที่อะไรๆ ก็ทำท่าจะไปได้สวย จนนางเอกพบว่าเขาก็อาจจะเป็นหนึ่งในเจ้าของเหรียญที่เธอเก็บมา ซึ่งเจ๊รับไม่ได้อย่างแรงที่จะมีใครมาหลงเธอเพราะต้องมนตรามากกว่าจะมาจากความรักอันแท้จริง เรื่องราววุ่นๆ จึงเกิดขึ้นตามมาให้คอหนังโรแมนติกหัวใจกุ๊กกิ๊กได้ตามลุ้นกันต่อไป


งานนี้นางเอกเราเลือกขวัญใจได้ไม่ยากเลย
ผกก.Mark Steven Johnson ที่เคยทำแต่หนังฮีโร่มาตลอด (อาทิ Daredevil [2003] และ Ghost Rider [2007]) หันมาทำหนังโรแมนติคคอมเมดี้กับเขาก็เป็นด้วย ซึ่งจังหวะของแกก็พอจะใช้ได้อยู่ เพราะก็สามารถพาความสดใสและโรแมนติคเข้ามาในหนังได้บ้าง (แต่จะออกแนวมุกแป้กมากกว่าโรแมนติคนะ) หนังดูเพลินจากลีลาของบรรดาตัวประกอบทั้งหลาย อันตัวนางเอกเราก็ดูน่ารักสดใสดีแม้ว่าอายุจะย่าง 30 ขวบแล้วก็ตาม แต่ดูๆ แล้วเธอคงต้องฝึกบริหารเสน่ห์ให้มากกว่านี้ถ้าอยากจะอยู่ในดิวิชั่นหนึ่งของเจ้าแม่หนังโรแมนติคคอมเมดี้ล่ะก็


เคยยิ้มให้ใครอย่างนี้บ้างมั้ยจ้ะ?
ถึงแม้จะมาแบบสูตรสำเร็จที่ไม่มีอะไรเกินคาด ขาดอะไรจี๊ดๆ แบบที่หนังแนวนี้ควรมี และอุดมไปด้วยมุกแป้ก แต่ก็ไม่ถึงกับย่ำแย่ ยังดูได้เพลินดีอยู่ ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวาย ที่สำคัญคือสาระก็ยังอุตส่าห์มีมาให้ นั่นก็คือ ความรักนั้นทำให้เรากล้าหาญ ทำให้เรากล้าลุกขึ้นมาทำในสิ่งดีๆ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไง ดังนั้นจงกล้าที่จะรักไว้เน้อพี่น้อง เจ๊ Bell เขาฝากบอกมาดังๆ
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังโรแมนติคคอมเมดี้ที่ดูได้เพลินๆ ไม่ต้องคิดอะไร คอหนังแนวนี้คงจะชอบกัน
  • ไม่น่าดูเพราะ: ซ้ำซาก เต็มไปด้วยมุกแป้ก และยังขาดอะไรที่โดนๆ หรือน่าประทับใจอยู่




*ช่วงเพลงในหนัง*
สาวอวบ Adele
เพลงซาวน์แทร็คของหนังเรื่องนี้ออกจะเน้นไปทางเพลงป็อปร่วมสมัยที่ คึกคัก กระฉึกกระฉัก แจ่มใส ซาบซ่า ซะเกือบทั้งหมด ในขณะที่เรากลับไปติดใจเพลงช้าๆ ที่มีอยู่ในฉากหนึ่ง แต่ดันไม่ได้รวมอยู่ในอัลบั้มซาวน์แทร็คอย่างน่าเสียดาย ซึ่งนั่นก็คือเพลง Make You Feel My Love ของสาวอวบเสียงดีจากอังกฤษอย่าง Adele นั่นเอง ในขณะที่เพลงเร็วๆ โจ๊ะๆ ของ Matchbox Twenty ในฉากที่บึ่งรถไปพิพิธภัณฑ์ก็น่าฟังอยู่ไม่น้อย ว่าแล้วก็ขอนำเพลงเพราะๆ ทั้งสองเพลงนี้มาฝากกันก็แล้วกันเนอะ





วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The Book of Eli (2010): ไซไฟเพื่อพระเจ้า


The Book of Eli (2010) :
สองพี่น้องตระกูล Hughes (Albert และ Allen Hughes) นับเป็น ผกก.ผิวสีแพ็คคู่ที่เลือกทำหนังได้เก๋จริงๆ เพราะผลงานเรื่องก่อนของพวกเขาอย่าง From Hell (2001) นั้น ก็จับเอาป๋า Johnny Depp มาพี้ยาไปไล่จับ Jack the Ripper ในกรุงลอนดอนเมื่อร้อยกว่าปีก่อนไปได้อย่างสุดเหวอ และหลังจากที่หายไปกว่า 9 ปี พวกเขาก็กลับมาอีกครั้งพร้อมผลงานเรื่องใหม่ ซึ่งคราวนี้จะพาไปยังอนาคตในช่วงหลังวันสิ้นโลก(Post-Apocalyptic) กันบ้างล่ะ


หลอกจับมือสาวล่ะเซ่คุณน้า
หนังเสนอเรื่องราวของชายชื่อ Eli (Denzel Washington จาก American Gangster [2007]) ที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินดุ่มๆ ไปยังทิศตะวันตกของอเมริกาในยุคหลังจากเกิดหายนะล้างโลกเมื่อสามสิบปีก่อน โดยเขามีภาระหน้าที่อันสำคัญในการนำหนังสือเล่มหนึ่งไปส่งยังที่หมาย และแน่นอนที่ระหว่างทางเขาก็ต้องเจออุปสรรคขวางกั้นต่างๆ นาๆ ให้คนดูได้ลุ้นกันว่างานนี้เขาจะเดินทางไปถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพหรือไม่กันต่อไป


มาดน้าเขานี่เท่จริงๆ
เมื่อปลายปีที่แล้วเพิ่งจะมีหนังแนวๆ นี้ อย่าง The Road ออกมาหยกๆ พอมีเรื่องนี้ตามหลังออกมาจึงเป็นอะไรที่มันบังเอิญไปหรือเปล่า? กระนั้นเมื่อดูหนังทั้งสองเรื่องก็พบว่ามาคนละแนวกัน โดยเรื่องนี้จะไม่หดหู่เท่าเรื่องนั้น แต่ออกจะเน้นฉากแอ็คชั่นมากกว่า ซึ่งแม้จะไม่ถึงกับบู๊กันระเบิดระเบ้อกันทั้งเรื่อง แต่เท่าที่มีก็ออกมาเด็ดขาดอยู่มิใช่น้อย ในส่วนของงานสร้างด้านต่างๆ ก็ออกมาดูดีสมฐานะของหนังระดับกลางๆ เช่นนี้ ในขณะที่บรรดานักแสดงคงไม่มีใครเด่นเกินน้า Washington ที่พาหนังไปได้ตลอดรอดฝั่ง แม้จะมีอะไรๆ ในหนังที่ดูจงใจและไม่ค่อยสมเหตุสมผลอยู่หลายประการก็ตามที


Gary Oldman มาในบทตัวโกง(อีกตามเคย)
จริงๆ แล้วหนังหนังไซไฟ-แอ็คชั่นของสองพี่น้อง Hughes เรื่องนี้ถือว่าเป็นหนัง'โปรคริสเตียน' เรื่องหนึ่ง เพราะหนังแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เราขาดพระเจ้าไม่ได้เลย แม้ว่าครั้งหนึ่งเราอาจจะละทิ้งพระเจ้าไป แต่ในที่สุดแล้วมนุษย์เราก็ยังต้องการพระเจ้าอยู่ดี และเราจะรู้จักพระเจ้าได้โดยผ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แต่ก็ไม่ใช่ว่าตัวหนังสือจะสำคัญที่สุด ถ้อยคำที่บรรจุอยู่ในนั้นต่างหากที่สำคัญกว่า แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการที่เรามีถ้อยคำคำสอนเหล่านั้นอยู่ในชีวิตของเรา อ่า...นี่ก็เป็นกุศโลบายที่เข้าท่าอย่างหนึ่งของฮอลลีวู้ดเขาเลยนะเนี่ย

*หมายเหตุ*
มีหลายฉากที่จะมีการขอดูมือของคนแปลกหน้า ซึ่งก็เป็นวิธีพิสูจน์ว่าใครที่เป็นพวกกินเนื้อคน โดยคนเหล่านั้นจะมือสั่นอยู่ตลอดเวลา เหมือนเช่นตายายที่พวกพระเอกไปเจอในช่วงท้ายไงล่ะ

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแอ็คชั่นไซไฟ ที่เด่นในด้านบรรยากาศ ฉากแอ็คชั่นเด็ดขาด ดูได้ดูดี
  • ไม่น่าดูเพราะ: จริงๆ แล้วเป็นหนังโปรศาสนาคริสต์ คนที่จะอินจะปลื้มก็คงจะมีแต่คริสเตียนเท่านั้น หนังเลยอาจจะดูไม่สนุก จงใจ และเว่อร์ๆ ไป สำหรับผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของหนัง



*ช่วงเพลงในหนัง*


ในช่วงแรกๆ ในหนังจะมีฉากที่พระเอกเราควักไอพอดรุ่นพระเจ้าเหาออกมาฟังเพลงคลายเครียด ซึ่งเพลงๆนั้นก็คือเพลง How Can You Mend a Broken Heart ของศิลปินกอสเปล/โซล ในตำนานอย่าง Al Green นั่นเอง และสำหรับใครที่ติดใจเพลงนั้นอยู่ เราก็มีมาฝากกันตามฟอร์มจ้า




*ช่วงรู้มั้ยเอ่ย? (แล้วจะรู้ไปทำไมเนี่ย)*

ผลงานเรื่องต่อไปของสองพี่น้อง Hughes เป็นการนำอนิเมะในตำนานอย่าง Akira (1988) มาทำเป็นเวอร์ชั่นคนแสดง ซึ่งจะมีกำหนดออกฉายปี 2013 (หลังจากที่ฮอลลีวู้ดร่ำๆ อยากจะเอามาทำเป็นหนังตั้งแต่ต้นยุค 90 แล้ว)
ซึ่งสำหรับคอการ์ตูนแล้วก็คงจะรู้จักผลงานของ คัตสึฮิโร่ โอโตโมะ เรื่องนี้กันเป็นอย่างดี ในตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับหนังออกมามากนัก ดังนั้นกว่าจะถึงตอนนั้น อะไรๆ ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกตลอด ใครที่เป็นแฟนอนิเมะเรื่องนี้ก็โปรดจับตาดูกันต่อไปให้ดีจ้า



วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Robin Hood (2010): กว่าจะมาเป็น'โรบิน ฮู้ด'


Robin Hood (2010) :
เฮีย Russell Crowe (American Gangster [2007]) กลับมาร่วมงานกับ ผกก.คู่บุญอย่าง Ridley Scott อีกเป็นครั้งที่ห้าแล้ว โดยคราวนี้เฮียเขาขอควบหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์เองอีกด้วยในการจับตำนานจอมโจร Robin Hood จากอังกฤษมาขึ้นจอเป็นเวอร์ชั่นที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า Robin Hood เวอร์ชั่นนี้แก่ที่สุด (45 ขวบ) และก็เป็นเวอร์ชั่นที่ทุนสร้างเยอะที่สุดอีกด้วย (200 ล้านเหรียญ ซึ่งก็เป็นอัตรามาตรฐานของหนังทุนสูงทุกวันนี้)

ถึงเฮียเขาจะมากับทรงผมเดิมและมาดเดิมๆ แต่ก็ยังเก๋าได้ใจอยู่
แต่แทนที่จะเล่าเรื่องอีหรอบเดิมแบบเวอร์ชั่นที่ผ่านๆ มา เวอร์ชั่นนี้ก็ขอทำเก๋กว่านั้นโดยการย้อนไปเล่าความเป็นมาก่อนที่จะเดินเส้นทางสายโจรของ Robin Hood โดยโยงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และสงครามเข้ามา ซึ่งก็น่าจะสร้างความแปลกใหม่และความน่าเชื่อถือให้กับเวอร์ชั่นนี้กว่าเวอร์ชั่นอื่นๆ ที่จะออกแนวตำนานปรัมปราอยู่พอสมควรเลยทีเดียว และไอ้เรื่องแนวประวัติศาสตร์ สงครามๆ แบบนี้ก็เข้าทาง ผกก.เราอยู่แล้ว งานตรงส่วนนี้เลยออกมาดูดีตามมาตรฐานของเขาล่ะ


นางเอกเราคือสิ่งที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งในหนัง
ถึงกระนั้นหนังก็ไม่ได้ออกมาแนวซีเรียสแบบดูไปคิ้วชนกันไปตลอดหรอกนะ เพราะมีอารมณ์ขันมาผ่อนคลายอยู่ตลอด ซึ่งก็กำลังพอดีไม่ได้ออกมาสามช่าจนเกินไปแต่อย่างใด ในขณะที่การวางตัวแสดงก็ทำได้ดีโดยเฉพาะคุณ Cate Blanchett (Elizabeth [1998]) ที่ฝีมือยังแจ่ม มีเสน่ห์และสามารถพาความสดใสมาสู่หนังได้มากมายทีเดียว ส่วนเฮีย Crowe เรานั้นเล่า ก็มาในมาดเดิมๆ ทรงผมก็เดิมๆ (แต่หน้าแก่ขึ้น) แบบที่เราเคยเห็นมาตลอดนั่นแหล่ะ ทว่าแกก็ไปของแกได้ดี ตีรันฟันแทงยิงธนูสู้ศึกได้อย่างทะมัดทะแมง ดูกลมกลืนกับหนังไปได้ในที่สุด

จะยิงธนูหรือขี่ม้าจีบสาวเฮียเขาก็ บ่ ยั่น อยู่แล้ว
ถึงจะเป็นหนังที่ทำได้ดูดี ดูเพลินยังไง ก็ยังมีอะไรเล็กน้อยๆ ที่ดูจะบั่นทอนความไหลลื่นทางอารมณ์ของคนดู(ช่างจับผิด)อยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นการรบกับกองทัพฝรั่งเศสในช่วงท้ายที่ จู่ๆ นางเอกเราก็ลุกขึ้นมาสวมเกราะและเกณฑ์แก๊งโจรเด็กที่อยู่ในป่า(ซี้กันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?)ตามมาช่วยรบได้ซะงั้น (เพื่อที่จะกลายเป็นตัวถ่วงของพระเอกในที่สุด) และเหมือนช่วงท้ายจะรีบรวดรัดจบยังไงชอบกล ทั้งยังขาดอะไรๆ เด็ดๆ แบบที่จะเอามาคุยโขมงกันยามดูเสร็จออกมาได้ แต่เอาน่า ถ้าไม่ถือสากับเรื่องเหล่านี้จนเกินไป หนังก็ยังดูได้สนุก เพลินดี ให้แง่คิด ใครชอบแนวๆ นี้ก็คงจะไม่ผิดหวังกันล่ะครับ


ฉากรบยังอลังการเช่นเดิม
  • น่าดูเพราะ: ฝีมือของ ผกก.Ridley Scott ยังไว้ใจได้ แฟนๆ คงจะไม่ผิดหวังกัน ทั้งนี้หนังยังดูได้เพลิน ให้แง่คิดดีอีกด้วย
  • ไม่น่าดูเพราะ: ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่เริ่มจะเบื่อหนังแนวขี่ม้าฟันดาบโช๊งเช๊งแบบนี้แล้ว หลายคนอาจเมิน และหนังยังไม่มีอะไรเด็ดๆ มาเรียกคนดูเข้าโรงเท่าที่ควร




*ช่วงยามเมื่อหนังลงแผ่น*


Robin Hood ฉบับตามใจ ผกก.
ดูเหมือนว่าหนังฉบับ Unrated Director's Cut ที่มีความยาวกว่าฉบับในโรง 16 นาที จะสามารถเติมเต็มและแก้ไขส่วนที่คาใจฉบับในโรงเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะบรรดาฉากที่อธิบายว่านางเอกไปซี้กับกองโจรเด็กได้ยังไง และเพิ่มบทบาทของกองโจรเด็กมากขึ้น ทั้งยังเพิ่มฉากกุ๊กกิ๊กระหว่างนางเอกกับพระเอกเข้ามาอีกด้วย ดังนั้นหากจะชมเรื่องนี้ให้ได้สนุก ไม่มีคาใจ ก็ควรจะหาเวอร์ชั่นนี้มาชมนะจ้ะ ขอบอก


วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

The Horde (2009): ฝ่านรก โขยงซอมบี้



The Horde (2009):
หลังจากที่ อเมริกา, อังกฤษ, นอร์เวย์, สเปน, ญี่ปุ่น และอีกหลายๆ ประเทศก็มีหนังซอมบี้เป็นของตนแล้ว(แม้แต่พี่ไทยเราก็มีอย่างใน ห้าแพร่ง[2009] และ ขุนกระบี่ผีระบาด [2004] ไง) คราวนี้ถึงคราวที่ ฝรั่งเศส จะขอมีหนังซอมบี้เป็นของตนเองบ้างล่ะ ซึ่งผู้ที่มาร่วมอำนวยการสร้างให้หนังก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ยอดชายนาย Xavier Gens ผกก.จากหนังแนวสับๆๆ อย่าง Frontier(s) (2007) นั่นไงล่ะจ้ะ


ซอมบี้ตัวนี้สมควรไปหาหมอฟันอย่างแรง
ส่วนที่ไปที่มาของเรื่องก็ไม่มีอะไรมากตามฟอร์มของหนังแนวนี้คือ เหล่าตำรวจนอกแถว 4 นายพากันบุกไปยังตึกเสื่อมโทรมแห่งหนึ่งเพื่อจัดการกับแก๊งสเตอร์ชาว ไนจีเรีย ที่เก็บเพื่อนรักของพวกเขาไป แต่เมื่อไปถึงกลับพบว่าทั้งเมือง (หรืออาจจะทั้งโลก?) กำลังอลหม่านจากการที่มีเหล่าซอมบี้ที่วิ่งเร็วปรู๊ดแบบสี่คูณร้อยสไตล์ซอมบี้ใน Dawn of the Dead (2004) เที่ยวไล่กัดกินประชาชีดวงกุดทั้งหลายอย่างเมาแมว งานนี้แทนที่พวกเขาจะได้ฉะกับโจร กลับกลายเป็นว่าต้องร่วมมือกันฉะกับซอมบี้แทน เพื่อหาทางเอาตัวรอดออกมาจากตึกแห่งนั้นให้จงได้เอย


กินอะไรกันมาเนี่ยปากมอมเชียว
สองผู้กำกับคู่หู Yannick Dahan และ Benjamin Rocher (เดี๋ยวนี้นิยมมากันเป็นคู่จริงๆ นะเนี่ย) เกี่ยวก้อยลั้ลลากันมาทำหนังเรื่องแรกของพวกเขานี้ได้ออกมาดูดี เพราะพวกเขารู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งในที่นี้คือการทำหนังซอมบี้ที่เน้นบู๊เลือดสาด มากกว่าจะเน้นด้านอื่นๆ ให้เสียเวลา หนังเรื่องนี้จึงบู๊กระจายกันตลอดเรื่อง ซึ่งในส่วนของงานสร้าง บรรยากาศ เอฟเฟกต์ ก็ออกมาดูเข้าทีและช่วยส่งเสริมตัวหนังให้ออกมาดูดีขึ้นแยะเชียว

ซอมบี้สาวๆ กำลังยิงฟันยิ้มหวานให้ตากล้องชักภาพ
กระนั้นหนังก็มีปัญหาอยู่บ้าง ไม่ว่าจะการไม่บอกสาเหตุที่ไปที่มาของเหล่าซอมบี้ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอกนะเมื่อเทียบกับบทหนังที่ออกมาซ้ำๆ เดิมๆ ไม่มีแง่มุม ใหม่ๆ เด็ดๆ มามอบให้ และเว่อร์ในบางจุดไปหน่อย อีกทั้งดูเหมือนว่าเหล่าตัวละครในเรื่องจะไม่เคยดูหนังซอมบี้มาก่อน เลยมัวแต่สาดกระสุนทิ้้งแบบไร้ผล โดยไม่คิดจะยิงหัวซอมบี้อันเป็นจุดอ่อนของพวกมันซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราว แต่ก็เอาน่า เมื่อบวกลบคูณหารแล้ว หนังเรื่องนี้ก็ยังน่าจะถูกใจคอหนังซอมบี้ได้อยู่ เพราะบรรยากาศ ฉากบู๊มันส์ๆ เอฟเฟกต์สยอง ก็ค่อนข้างจะออกมาน่าพอใจในระดับหนึ่ง ก็ต้องดูกันต่อไปว่าฝรั่งเศสจะมีหนังซอมบี้เด็ดๆ ออกมาให้ดูกันอีกในเวลาอันใกล้หรือไม่ล่ะครับ พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย


เจอแบบนี้พี่เขาคงไม่ไหวจะเคลียร์แน่เชียว
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังซอมบี้ฝรั่งเศส ที่เน้นบู๊กระจาย บรรยากาศเด่น เอฟเฟกต์ดี คอหนังซอมบี้คงดูได้สนุกเพลิดเพลินเป็นแน่เชียว
  • ไม่น่าดูเพราะ: เรื่องราวค่อนข้างซ้ำๆ เดิมๆ เหมือนหนังซอมบี้อีกร้อยๆ เรื่องที่คุณเคยดูมานั่นแหล่ะ

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Bad Taste (1987): ทีมป่วงถล่มเอเลี่ยน


Bad Taste (1987) :
ก็เพราะว่าทุกวันนี้คุณน้า Peter Jackson กลายเป็น ผกก.ชื่อดังระดับโลกไปแล้ว ผลงานหนังเก่าๆ ของเขาย่อมจะกลายเป็นที่กล่าวถึงจากคอหนังเป็นธรรมดา โดยเฉพาะผลงานเรื่องแรกของเขานี้ที่ถึงกับกลายเป็นตำนาน ซึ่งไม่ใช่เพราะว่ามันเป็นหนังที่ดีเลิศประเสริฐศรีมาจากไหน หากแต่เป็นเพราะมันเป็นหนังคัลต์ทุนต่ำเรี่ยดินที่โหด มันส์ ฮา รั่วได้ใจ ที่ฉายแววให้เห็นถึงความเป็น ผกก.ที่เก่งรอบทิศ ไอเดียบรรเจิด ใจรักทุ่มเทในหนัง และเต็มไปด้วยลูกบ้า อันเป็นคุณสมบัติที่ทำให้น้าประสบความสำเร็จในทุกวันนี้นั่นเอง


น้ากำลังสวาปามมันสมองของใครสักคนอย่างเอร็ดอร่อย
หนังคัลต์แอ็คชั่น-ไซไฟปนแหว่ะเรื่องนี้ว่ากันถึงเหล่าเอเลี่ยนหน้าตากวนโอ๊ยที่บุกมาจับคนทั้งหมู่บ้านเล็กๆ ที่ชื่อว่า Kaihoro ในนิวซีแลนด์ที่ชื่อ Kaihoro ไปเป็นเป็นฟาสต์ฟู้ดอวกาศ(เอิ่ม...) ทางรัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้ส่งทีมปฏิบัติการลับที่นำโดยยอดชายนาย Derek (เล่นได้รั่วสุดๆ โดยน้า Jackson) มาสืบสวน ซึ่งเมื่อพบความจริงนี้เข้า พวกพระเอกเราก็เลยเปิดฉากปะฉะดะกับเหล่าเอเลี่ยนกันชนิด โหด มันส์ ฮา อวัยวะปลิวว่อน แถมยังรั่วได้อีก จนใครดูแล้วก็ถึงกับต้องรำพึงอยู่ในใจว่า "อืม...ทำ ไป ได้"


น้าเขาเคยประสบภาวะสมองไหลมาแล้ว
หนังใช้เวลาสร้างกว่า 4 ปี(ป๊าด) โดยน้าเขาจะเกณฑ์เพื่อนๆ มาถ่ายทำเฉพาะในช่วงวันหยุด(เพราะวันธรรมดาทุกคนต้องทำงานประจำของตน) และให้ผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่ทั้งหน้ากล้องและหลังกล้องให้ควั่ก(แค่น้าเขาก็เหมาคนเดียวสองบทแล้ว) เงินทุนก็ได้จากรายได้อันน้อยนิดของงานประจำ แถมยังใช้กล้อง 16 มม.ถ่ายทำแบบไม่มีเสียงอีกต่างหาก (แล้วต้องมาพากย์เอาทีหลัง) เท่านี้ก็พอจะทำให้อดทึ่งในความอุตสาหะและความรักทุ่มเทในหนังของน้าไม่ได้แล้ว

ผกก.ใหญ่ในวันนี้ก็เคยรั่วได้ใจในอดีตมาแล้ว
ดีนะที่ทางภาครัฐเขาเห็นแววจ๊าบของน้าเลยมอบเงินก้อนหนึ่งให้ไปทำจนเสร็จ(หนังแบบนี้ยังสนับสนุนได้ ภาครัฐของเขาช่างเปรี้ยวจริงๆ อิอิ) ช่วงท้ายๆ ของหนังเลยเห็นอะไรที่มันอลังการในแบบคัลต์ๆ อยู่บ้าง โดยรวมแล้ว ด้วยความเป็นหนังเกรดบีทุนต่ำ ทุกอย่างเลยดูกระจอกและมือสมัครเล่นเอามากๆ แต่ก็มีอย่างอื่นมาทดแทน ไม่ว่าจะเป็นไอเดียเอฟเฟกต์ทำมือสารพัดที่งัดกันมาใช้อย่างสร้างสรรค์ ลูกบ้าลูกคัลต์ที่ใส่กันเต็มที่ และการได้เห็น ผกก.ระดับโลกอย่างน้ามาเล่นเป็นตัวละครสุดบ๊อง ที่ในขณะตกเหว ก็แหกปากตะโกนออกมาดังลั่นว่า "แม่จ๋าาาา!" เท่านี้ก็คุ้มค่าที่จะหามาดูแล้วล่ะ
  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังคัลต์ที่โหด มันส์ ฮา แถมยังบ้าได้ใจ ใครอยากเห็นหนังเรื่องแรกของน้าก็ไม่ควรพลาด เพราะทุกอย่างที่เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้มันได้กลายเป็นตำนานบทหนึ่งไปแล้ว
  • ไม่น่าดูเพราะ: เป็นหนังเกรดบีที่ทุกอย่างดู กระจอก สมัครเล่น แบบที่หลายๆ คนคงจะบอกว่า "หนังแบบนี้ให้ตรูไปทำเองก็ได้ฟะ"(แต่จะทำได้หรือเปล่าก็อีกเรื่องหนึ่ง)


วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Heavenly Creatures (1994): ทรพีนี้ เพื่อรักเรา


Heavenly Creatures (1994) :
หลังจากที่ตั้งหน้าตั้งตาทำหนังคัลต์เน้น โหด มันส์ ฮา กันชนิดเถิดเทิงอยู่หลายเรื่อง จู่ๆ ผกก.เคยตุ้ย(ในตอนนั้น)อย่าง Peter Jackson ก็ลุกขึ้นมาหยิบเอาเรื่องราวของสองวัยรุ่นสาววัยย่าง 16 ขวบที่ร่วมกันก่อคดีมาตุฆาตสุดสะเทือนขวัญใน นิวซีแลนด์ ช่วงยุค 50 มาตีแผ่ โดยคัดนักแสดงหน้าใหม่อย่าง Kate Winslet (The Reader [2008]) และ Melanie Lynskey (Up in the Air [2009]) มารับบทนำได้อย่างโดดเด่นสุดๆ


สองสาวในวัยละอ่อนแต่ฝีไม้ลายมือในการแสดงไม่อ่อนเลย
ซึ่งผลตอบรับของหนังก็ออกมาดีมากๆ เพราะนอกจะได้เข้าชิงรางวัลออสก้าร์บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมในปี 1995 แล้ว(แต่แห้ว) ยังคว้ารางวัลต่างๆ มามากมาย ส่งผลให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องเกิดไปตามๆ กัน และทำให้น้าตุ้ยเราอัพเกรดตนเองจากเดิมที่มักจะถูกตีตราว่าเป็น "ผกก.หนังคัลต์บ้าบอคอแตก" กลายเป็น "ผกก.หนังคุณภาพระดับออสก้าร์"ไปในบัดดล และส่งผลให้เขาได้โกฮอลลีวู้ดในผลงานเรื่องถัดไปอย่าง The Frighteners (1996) นั่นเอง


หลายปีมาแล้ว แต่เจ๊ Winslet หน้าตาไม่ค่อยเปลี่ยนเลย (เพราะดูแก่ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว)
ถึงหนังจะมาด้วยเรื่องฉาวชวนหดหู่ แต่ ผกก.เราสามารถโชว์ศักยภาพในการเล่าเรื่องที่ทำให้หนังออกมาดูสนุก เข้มข้น เต็มไปด้วยความกระตือรือล้น เสน่ห์ อารมณ์ขัน ไอเดียเหนือจินตนาการ และเร้าอารมณ์สุดๆ ได้ในยามที่ต้องการ(แม้แต่ความโหดก็ยังมีมาให้) ไม่มีส่วนไหนที่ชวนน่าเบื่อเลย แฟนหนังเห็นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่านี่คือลายเซ็นอันเป็นเอกลักษณ์ในการทำหนังของเขา (น้าเขาก็ยังโผล่มาแว๊บๆ ในหนังเช่นเคย) ส่วนสองนักแสดงหลักที่เป็นหัวใจของหนังเองก็ทำหน้าที่ได้ดีมากทั้งคู่ ซึ่งสามารถแสดงบทบาทแนว Yuri (หญิงรักหญิง)ได้อย่างสุดอินและน่าหมั่นไส้แบบสุดๆ โดยเฉพาะคุณ Winslet ที่ไม่น่าเชื่อว่านี่แค่หนังเรื่องแรกของเธอ ก็ฉายแววเปล่งออร่าของนักแสดงเจ้าบทบาทอย่างน่าทึ่งซะแล้ว


สมัยนั้นหญิงรักหญิงเป็นสิ่งต้องห้าม
จากในหนังเราจะพบว่าทั้งสองสาวล้วนเป็นคนเจ้าจินตนาการ จึงรู้สึกว่าตนแปลกแยกจากคนอื่นๆ แต่เมื่อพบว่าจินตนาการของทั้งคู่จูนกันติดได้ดี ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทว่าด้วยความที่ยังเด็ก ทั้งคู่จึงพัฒนาความสัมพันธ์ของตนไปอย่างหมิ่นเหม่ในสายตาผู้ใหญ่ และเมื่อถูกขัดขวาง ทั้งคู่จึงมองผู้ใหญ่เหล่านั้นเป็นอุปสรรครักของพวกเธอ ด้วยการขาดการยับยั้งชั่งใจ ปล่อยให้โลกแห่งจินตนาการครอบงำ สองสาวจึงได้ก่อเรื่องเลวร้ายขึ้นในที่สุด ดูหนังแล้วก็สงสารพวกเธอ และยิ่งกว่านั้นก็คือสงสารคุณแม่ที่ถูกลูกสาวของตนพาไปฆ่าโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย นอกจากจะรู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้ใช้เวลาพักผ่อนกับลูกสาวสุดที่รักเช่นนี้...
  • น่าดูเพราะ: เป็นผลงานสร้างชื่อของ ผกก.ระดับบิ๊กอย่าง Peter Jackson เชียวนะ แถมการแสดงในผลงานเรื่องแรกของเจ๊ Winslet ก็แจ่มน่าดูจริงๆ คอหนังห้ามพลาดเลยล่ะ
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังหญิงรักหญิงซึ่งเต็มไปด้วยจินตนาการสุดเหวอ และยังพูดถึงการฆาตกรรมแบบนี้ คงจะไม่บันเทิงชวนดูเท่าไหร่หรอกมั้ง



*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

โฉมหน้าของสองสาวสุดฉาวตัวจริง
เรื่องราวในหนังมาจากคดีฆาตกรรมของ Parker-Hulme ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1954 ใน ไคร้สท์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ เมื่อ Pauline Parker กับ Juliet Hulme สองเพื่อนซี้ที่พัฒนาความสัมพันธ์ของกันไปแนวๆ เลสเบี้ยน ตัดสินใจฆ่าแม่ของ Parker ทิ้งเพราะเชื่อว่าแม่ของเธอเป็นมารผจญขัดขวางความรักของสองเรา โดยการล่อลวงชวนคุณแม่ไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะ ก่อนที่จะร่วมกันเอาก้อนอิฐทุบหัวคุณแม่นับครั้งไม่ถ้วนจนสิ้นใจ ก่อนที่ทั้งคู่จะฟอร์มสดวิ่งโร่ไปเรียกคนมาช่วยโดยบอกว่าคุณแม่หนูลื่นล้มหัวกระแทกหินตายคาที่ค่ะ(ป๊าด)


Hulme และ Parker สมัยยังเอ๊าะ
พอตำรวจมาสืบสวนก็พบก้อนอิฐของกลางตกอยู่แถวๆ นั้น และเมื่อเค้นสอบสาวทั้งสองหนักๆ เข้า ทั้งคู่ก็แพล่มออกมาจนหมดเปลือก บวกกับหลักฐานมัดตัวอันสำคัญคือ เมื่อตำรวจค้นบ้านของทั้งคู่ก็พบไดอารี่ที่สาว Parker เขียนระบายความรู้สึกใส่มาตลอด ซึ่งรวมถึงการบรรยายว่าอยากฆ่าแม่ของตนมากแค่ไหน ยังไง และเมื่อไหร่ (Peter Jackson ก็เอาเนื้อหาในไดอารี่มาเขียนเป็นบทหนัง) โดนหลักฐานมัดจนดิ้นไม่หลุดแบบนี้ ก็ต้องเจอโทษหนักถึงขั้นประหารสิครับ แต่เพราะพวกเธอยังเป็นผู้เยาว์เลยรอดตัวไป หลังจากติดคุกอยู่ได้ 5 ปี ศาลก็ปล่อยพวกเธอไปโดยมีข้อแม้ว่าทั้งคู่จะต้องไม่ติดต่อกันอีกต่อไป


Hulme และ Parker ในปัจจุบัน
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็หายเข้ากลีบเมฆไปหลายปี จนเมื่อหนัง Heavenly Creatures ดังขึ้นมา สื่อทั้งหลายเลยพากันเสาะหาตัวเป็นๆ ของทั้งคู่ซึ่งก็พบว่าคุณ Hulme (ปัจจุบันอายุ 71 ขวบ) หลังจากได้รับการปล่อยตัวก็ได้ย้ายไปปักหลักที่อเมริกาพร้อมเปลี่ยนชื่อแซ่ตนเป็น Anne Perry และได้กลายเป็นนักเขียนนิยายที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง ซึ่งเมื่อถูกสัมภาษณ์เธอก็บอกว่า ความสัมพันธ์ของเธอกับ Paker ในอดีตไม่ใช่เชิงเลสเบี้ยน แต่เป็นเพราะบรรยากาศมันพาไปตามประสาวัยทีนใจอ่อนไหวต่างหากล่ะ(อ่ะนะ)

ส่วนคุณ Parker (ปัจจุบันอายุ 72 ขวบ) ก็ได้ย้ายไปปักหลักที่สก็อตแลนด์โดยได้เปิดโรงเรียนสอนขี่ม้าสำหรับเด็ก และกลับตัวกลับใจเป็นคริสตศาสนิกชนที่เคร่งครัด ซึ่งเมื่อเธอถูกค้นพบจากบรรดาสื่อ เธอก็ขอปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวฉาวในอดีต พร้อมทั้งบอกว่าเธอรู้สึกผิดและโศกเศร้ากับสิ่งที่ตนได้กระทำไป และไม่ต้องการจะรื้อฟื้นถึงเรื่องราวเหล่านี้อีกต่อไป

เฮ้อ...เรื่องของเรื่องก็เพราะอารมณ์ชั่ววูบของวัยรุ่นแท้ๆ เลยนะเนี่ย...


*ปะติดปะต่อเรื่องราวแบบผิดๆ ถูกๆ จาก wikipedia จ้า*