วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

Kamui Gaiden (2009): คามุยยอดนินจา



Kamui Gaiden (2009) :
พ่อหนุ่ม เคนอิชิ มัตซึยาม่า หรือ L ขวัญใจสาวๆ จากหนังสุดฮิต Death Note กลับมาอีกครั้งกับผลงานที่สร้างจากหนังสือการ์ตูนสุดคลาสสิค(อีกแล้ว)เรื่อง The Legend of Kamui ที่ตีพิมพ์ระหว่างปี 1964-1971 ซึ่งก็ดังมากพอที่จะถูกนำไปสร้างเป็นหนังการ์ตูนทีวีอยู่หลายครั้ง และยังเป็นหนังสือการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องแรกที่ถูกนำไปตีพิมพ์ขายในอเมริกา(ในปี 1987)อีกด้วย แสดงว่าของเขาดีจริงน่ะสิเนี่ย


พ่อหนุ่ม L เรามีโอกาสโชว์ความล่ำอย่างเต็มที่ในเรื่องนี้
เวอร์ชั่นหนังใหญ่นี้ก็เริ่มต้นด้วยการแสดงให้เห็นว่านินจาหนุ่มหน้ามนคนเจแปน คามุย (มัตซึยาม่า) ไม่อยากเป็นนินจาอีกต่อไป ซึ่งตามกฏของนินจาแล้วการจะยุบสภาลาออกจากการเป็นนินจาได้นั้นก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นกลายเป็นศพ ว่าแล้วคามุยเราก็ต้องหนีการตามล่าฆ่าไม่เลี้ยงจากพวกเดียวกัน แล้วระหกระเหินไปพบปะผู้คนและสถานที่อันห่างไกลความเจริญมากมาย แต่มีหรือที่เหล่าศัตรูผู้ตามล่าเขาจะปล่อยให้เขาหนีลอยนวลไปอย่างสบายใจเฉิบ ว่าแล้วก็ต้องตามมาป่วงชีวิตพระเอกเราจนได้บู๊กันกระจาย แล้วก็ปิดท้ายด้วยการทิ้งเชื้อไว้สำหรับภาคต่อเอย(ซะงั้น)


เขาสวมบทนินจาคามุยได้อย่างทะมัดทะแมง
หนังเริ่มต้นมาได้อย่างน่าดู เพราะทั้งโลเกชั่น เครื่องแต่งกาย นักแสดงล้วนดูดีมีชาติการ์ตูน ส่วนฉากแอ็คชั่นที่เน้นการนำสลิงและซีจีเข้ามาใช้นั้น ก็เยอะดีแต่ก็ไม่ได้ดูล้นจนน่าเกลียดอะไร ทว่าพอหนังฉายๆ ไปกลับเริ่มจะเฉื่อยเฉยลงเรื่อยๆ ไปซะงั้น แม้พ่อหนุ่ม มัตซึยาม่า จะดูดีในบท คามุย และเล่นคิวบู๊ได้อย่างทะมัดทะแมงแต่ก็ช่วยอะไรได้ไม่มากนัก เพราะหนังดันไปแบบเรื่อยๆ ไม่หือไม่อือจนออกทะเล (ทะเลจริงๆ นะเออ) ฉากบู๊เด็ดๆ ก็ขาดแคลน(ที่มีก็ไปอยู่ในช่วงแรกหมดแล้ว) ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้เลยที่ดูหนังจบแล้วจะรู้สึกว่า 'แหม่ น่าเสียดายจัง' หนังมีศักยภาพที่จะสนุกได้ แต่ก็ทำออกมาไม่สนุกซะงั้น เสียดายๆ


มีดาราคุ้นหน้ามาร่วมแจมหลายคน
  • น่าดูเพราะ: แฟนๆ หนุ่ม มัตซึยาม่า คงไม่พลาดหนังเรื่องนี้กัน แถมเขาก็รับบทบาทได้อย่างทะมัดทะแมงซะด้วยสิ
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังเริ่มต้นอย่างน่าดู แต่ยิ่งดูยิ่งน่าเบื่อไปอย่างน่าเสียดายชะมัด



*ช่วงรู้มั้ยเอ่ย? (แล้วจะรู้ไปทำไมเนี่ย)*

ดาราฮ่องกงอย่าง เจิ้งอี้เจี้ยน (42 ขวบ) จาก The Storm Warriors (2009) เขาก็อุตส่าห์มาร่วมแจมในหนังด้วย ในบท Dumok ตัวโกงใหญ่ของเรื่องเชียวนะจะบอกให้ (โอ้ว!?)

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

Get Carter (1971): กลับบ้านไปสางแค้น


Get Carter (1971) :
นี่คือหนึ่งในบรรดาผลงานหนังของป๋า Michael Caine ที่เป็นที่จดจำมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ตัวหนังได้รับการชื่นชมยกย่องมากถึงขนาดที่ว่าเคยครองอันดับหนึ่งของ 'หนังอังกฤษที่ดีที่สุดตลอดกาล' จากการจัดอันดับของนิตยสาร Total Film ของอังกฤษเมื่อปี 2004 เลยทีเดียว ทั้งๆ ที่ตอนหนังออกฉายใหม่ๆ ในปี 1971 นั้นตัวหนังล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ทั้งรายได้และคำวิจารณ์ ซึ่งประเด็นที่ถูกสับเละมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องความรุนแรงของหนัง เอ...ตกลงหนังห่วยหรือไม่ห่วยกันเนี่ย?


ป๋า Caine สมัยหนุ่มฟ้อ แบกปืนลูกซองได้เท่จริงๆ
หนังเล่าเรื่องของยอดชายนาย Jack Carter (ป๋า Caine) แก๊งสเตอร์มาดเหลือกินจากลอนดอน ได้เดินทางกลับไปร่วมงานศพของน้องชายสุดรัก ณ นิวแคสเซิล ที่ไปๆ มาๆ เขาก็พบว่าน้องชายถูกฆาตกรรมชัวร์โดยขาใหญ่แถบนั้น ว่าแล้วการตามล้างแค้นอันสุดบรรเจิดก็ได้เริ่มขึ้น ซึ่งงานนี้บอกได้เลยว่าป๋าเขาไม่มียั้งมือ ยั้งเท้า ป๊าด! เล่นกับใครไม่เล่น ดันมาเล่นกับนาย Jack Carter ขาโหดประจำซอยซะแล้ว!!


ขอนำเข้าสู่โลกมืดของอังกฤษ
ถ้าจะดูถึงปีที่หนังออกฉายก็จะพบว่าหนังคงจะ'แรว้งง'น่าดูในสมัยนั้น เพราะหนังพาท่องโลกอาชญากร และถิ่นอโคจรของอังกฤษแบบไม่เหลือภาพลักษณ์ดีๆ ให้เห็น ทั้งยังมีฉากโป๊เปลือย และฉากฆ่ากันจะๆ ซะมากมาย อันตัวพระเอกเรานั้นเล่า ก็โหดและนับว่าไม่ใช่คนดีศรีสังคมซะด้วยสิ พอขึ้นชื่อว่าเป็นหนังอังกฤษดงผู้ดีอย่างนี้ ก็ต้องมีหลายคนในสมัยนั้นที่รับไม่ได้กันบ้างล่ะนะ


อย่าทำให้ป๋าโหด ขอบอก
แต่พอมาดูหนังในทุกวันนี้จะพบว่าหนังช่างเชยและจืดลงไปเยอะทีเดียว เพราะหนังสมัยนี้แรงกว่าตั้งร้อยเท่าได้มั้ง ฉากบู๊ฉากแอ็คชั่นก็เลยออกมาดูธรรมดามากๆ (แถมยังเฉื่อยได้ในบางช่วง) แต่ยังดีนะที่หนังยังมีความเก๋าอยู่ในตัว ด้านการเล่าเรื่อง อารมณ์ขันเล็กๆ น้อย การตัดต่อ และดารานำที่มีเสน่ห์อย่างป๋า Caine ซึ่งทำหน้าที่ได้อย่างน่าจดจำ ด้วยมาดเข้มๆ แต่งตัวเท่ๆ แววตาชั่วร้าย แต่ก็สามารถได้ใจผู้ชมไม่ยากเลย เลยยังพอมีอะไรให้น่าติดตามได้อยู่

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแก๊งสเตอร์คลาสสิคจากอังกฤษ ที่น่าจะดูสักครั้งเป็นบุญตาก็ดีนะ
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังเชย เก่า แก่ ซึ่งสามคำนี้เป็นคำต้องห้ามของคอหนังบางคน



*ช่วงย้อนรอยหนังเจ๊ง*

ป๋า Caine มาร่วมแสดงในเวอรชั่นรีเมคปี 2000 ของน้าแรมโบ้ซะด้วย
ไม่รู้ว่าใครไปเข้าฝันน้า Sylvester Stallone (Rambo [2008]) น้าเขาเลยหยิบหนังมารีเมคซะในแบบบู๊ขึ้น ลุยขึ้น ถึกขึ้นในปี 2000 ซึ่งหนังได้ป๋า Caine มาร่วมรับบทหนึ่งตัวร้ายด้วย (แต่เดิมป๋าจะแค่โผล่มาแค่ฉากเดียวในฐานะดารารับเชิญ แต่ผู้ชมรอบทดลองชื่นชอบกันมาก ผู้สร้างเลยเปลี่ยนให้ป๋ามารับบทที่สำคัญขึ้นซะเลย) ถึงกระนั้นพอหนังฉายก็ล้มเหลวทั้งด้านคำวิจารณ์และรายได้อย่างหนัก (ทุน 60 กว่าล้านแต่ทำเงินได้แค่ 19 ล้าน) ซึ่งก็ช่วยตอกย้ำสถานะอันตกต่ำของน้าแรมโบ้ในสมัยนั้นได้เป็นอย่างดี (แต่ไม่กี่ปีให้หลังน้าก็กลับมาแจ้งเกิดได้อีกครั้งจากหนังบุญเก่าอย่างร็อคกี้และแรมโบ้) แต่ใครจะไปรู้ล่ะ หนังห่วยในวันนี้อาจจะกลายเป็นหนังสุดคลาสสิคที่คนรุ่นหลังยกย่องในวันหน้า Get Carter เวอร์ชั่นต้นฉบับเป็นตัวอย่างที่ดีให้เห็นแล้วไม่ใช่เร๊อะ? เหอๆ



วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

Peter & the Wolf (2006): หนูน้อยเสื้อแดงกับหมาป่าจอมตะกละ


Peter & the Wolf (2006) :
อนิเมชั่นความยาวครึ่ง ชม.ที่ถ่ายทำด้วยเทคนิคสต็อปโมชั่นเรื่องนี้ สร้างมาจากซิมโฟนี่สำหรับเด็กสุดคลาสสิคของคอมโพเซอร์ชาวรัสเซีย Sergei Prokofiev (แต่งตั้งแต่ปี 1936 โน่น) ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีถึงขนาดซิวรางวัลออสก้าร์สาขาอนิเมชั่นขนาดสั้นยอดเยี่ยมไปครองเมื่อปี 2008 ที่น่าสนใจคือมันเป็นการร่วมแรงร่วมใจกันสร้างของทีมงานอนิเมเตอร์หลายสัญชาติ ไม่ว่าจะมาจาก อังกฤษ, โปแลนด์, เมกซิโก, นอร์เวย์, เชค เชียวนะเนี่ย น่าสนใจๆ


หนูน้อยเสื้อแดงกับหมาป่าหิวโซ
หนังเล่าเรื่องเกี่ยวกับเด็กชายชาวรัสเซียนาม Peter ที่ต้องมาต่อกรกับหมาป่าตัวเบิ้มที่ดอดมากินเป็ดคู่ซี้ของเขาไป ซึ่งถึงผู้สร้างจะดัดแปลงในของส่วนรายละเอียดยิบย่อยจากเรื่องราวดั้งเดิมไปบ้าง แต่ก็ยังรักษาเรื่องราวหลักๆ ที่พูดถึงความกล้าหาญและสติปัญญาของเด็กน้อย Peter ไว้ได้อย่างครบถ้วน แถมยังสามารถเพิ่มแง่คิดเพิ่มเติมเข้าไปในหนังได้อีกอย่างเข้าท่าทีเดียว


ออกแบบตัวละครแบบไม่เน้นน่ารัก
ถ้าจะดูทางด้านความลื่นไหลของงานสร้างก็คงต้องบอกว่ายังไม่เนียนกิ๊กเท่ากับฝีมือระดับฮอลลีวู้ดหรือผู้สร้าง Wallace & Gromit แต่ก็ถือว่าทำได้อยู่ขั้นที่เจ๋งพอตัว ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ แม้จะเป็นอนิเมชั่นที่ไร้ซึ่งบทสนทนา แต่ก็ยังดูได้เพลินๆ เพราะผู้สร้างสามารถเติมเสน่ห์และความน่ารักเข้าไปกับเหล่าตัวละคร เสียดายที่ตัวอนิเมชั่นนั้นสั้นไปหน่อย ไม่งั้นคงได้เห็นอะไรสนุกๆ กว่านี้อีก แต่พอมาคิดอีกทีการที่จบภายในครึ่ง ชม.ก็คงจะเหมาะสมแล้ว กับการรักษาเรื่องราวดั้งเดิมและสาระที่ต้องการจะสื่อให้ดู เหมาะสมแล้วครับที่ได้ออสก้าร์ไปครอง


แต่จะออกแนวน่าเกลียดนิดๆ ซะมากกว่า
  • น่าดูเพราะ: เป็นอนิเมชั่นขนาดสั้นที่มีเสน่ห์ ดูได้เพลินๆ ให้แง่คิด
  • ไม่น่าดูเพราะ: ตัวละครดูไม่น่ารัก ดึงดูดใจเด็กๆ ตามสไตล์อนิเมชั่นฮอลลีวู้ด แบบนี้มันก็น่าเมินอยู่นะ







วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

The Misfortunates (2009): บ้านฉัน...เมาไว้ก่อน(พ่อพาอ้วก)

The Misfortunates (2009) :
หนังตลก/ดราม่าเรื่องนี้คือตัวแทนจากเบลเยี่ยมที่ถูกส่งเข้าชิงออสก้าร์หนังต่างประเทศยอดเยี่ยมซึ่งถึงจะแห้วรับประทานอดเข้ารอบห้าเรื่องสุดท้าย แต่ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนังคงมีดีอยู่ในตัวเป็นแน่(ไม่งั้นเขาคงไม่ส่งมาประกวดหรอกเนอะ) เอาแค่ว่าเห็นโปสเตอร์หนังที่เป็นภาพเหล่าชายฉกรรจ์มาปั่นจักรยานโชว์ตูดขาวๆ เย้ยฟ้าท้าลมหนาว ก็อดที่จะสร้างความสงสัยใคร่ดูว่าหนังมันจะมีดีอะไรมาโชว์บ้างนะเนี่ย??


รูปซ้ายคือกีฬาประจำชาติของเบลเยี่ยม(?!)
หนังเสนอเรื่องราวชีวิตของ Gunther นักเขียนไส้แห้งที่กำลังเครียดได้ที่เพราะแฟนสาวดันตั้งท้อง และไหนจะต้องทำงานหาเงินประทังชีวิตไปวันๆ โดยได้แต่รอคอยความหวังที่ผลงานของเขาจะได้รับการตีพิมพ์(ซึ่งก็ริบหรี่ซะจริง) เขามักจะนึกย้อนไปยังอดีตสมัยยังเด็ก ระลึกถึงครอบครัวของเขา ครอบครัว Strobbe ที่อาศัยอยู่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง โดยเขาถูกเลี้ยงดูมาโดยคุณพ่อและเหล่าคุณลุงคุณอา ซึ่งแต่ละคนล้วนเป็นพวกขี้เมาไร้สาระไปวันๆ หนุ่มน้อย Gunther ก็ดูเหมือนจะถูกเลี้ยงดูแบบบุฟเฟ่ต์สุดๆ เราจึงมักพบเห็นภาพที่เขาถูกกระเตงไปกับญาติๆ เพื่อเมาปลิ้นและสูบบุหรี่ในบาร์กันเป็นเรื่องปกติ ซึ่งด้วยการที่ถูกเลี้ยงดูอย่างนี้นี่เอง จึงส่งผลให้เขามีปัญหาด้านการเรียน และทำให้กลายเป็นเด็กกดดัน แต่ดีนะที่ยังมีคุณย่าที่เปรียบเสมือนเสาหลักของครอบครัวอยู่ทั้งคน ไม่งั้นครอบครัวนี้คงได้วุ่นวายกันกว่าที่เห็นแน่ๆ เชียว


ครอบครัวนี้สนับสนุนให้เยาวชนเมาอย่างเป็นทางการ
หนังเล่าเรื่องราวบ้านๆ ของครอบครัวระดับรากหญ้า(ของเบลเยี่ยม)ซึ่งถึงจะมาพร้อมอารมณ์ขันแต่ก็ออกแนวขำขื่น เพราะจะว่าไปแล้วเรื่องราวชีวิตของหนุ่มน้อย Gunther เนี่ยเรียกว่า'ชีวิตบัดซบ'ได้เต็มปากเลย ไม่ว่าการที่แม่ทิ้งเขาไปตั้งแต่เกิด พ่อที่ขี้เมาและโมโหร้าย ลุงๆ อาๆ ที่เสื่อมไปคนละอย่าง ยังดีนะที่พวกเขารักกันดีมากๆ แต่การเลี้ยงดูแบบผิดๆ ของพวกเขาก็ไม่ได้เสริมสร้างชีวิตของหนุ่มน้อยให้ไปในทางที่ดีเอาซะเลย และถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเมื่อ Gunther โตขี้น ก็คงจะไม่พ้นที่จะมีชีวิตหยำเปแบบพ่อและ ลุงๆ อาๆ เป็นแน่


พวกเขาเป็นได้ทั้งหนุ่มๆ สุดเถื่อนและกระเทยควายสุดถ่อย
ผกก.Felix Van Groeningen เล่าเรื่องที่เหมือนจะธรรมดา ออกแนวชีวิตบัดซบได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการไม่เติมอารมณ์ขันเข้ามาจนตลกโปกฮา และก็ไม่บัดซบจนดูไปชีช้ำไป แต่ก็ดูมีเสน่ห์อย่างประหลาด ซึ่งเป็นเสน่ห์แบบบ้านๆ ของคนเบลเยี่ยมเขา บางฉากบางตอนเหมือนจะดูออกมาผ่อนคลายและงดงามเสียด้วยซ้ำไป (หรือเราจะคิดไปเอง?) ดนตรีประกอบก็เพราะได้แบบซึมลึก เหล่านักแสดงก็มีเสน่ห์กันทุกคน (แม้จะแสดงเป็นคนหยำเปก็ตาม) เสียแต่ว่าคนที่มารับบทพระเอกเราตอนโต ดูหน้าตาออกไปทางผู้ร้ายแลดูห่างไกลจากหน้าตาสมัยเด็กๆ ไปนิด และหนังก็ไม่มีอะไรที่น่าประทับใจชนิดโดดเด้งขึ้นมา แต่ก็นับเป็นหนังดีมีคุณภาพ ที่เบลเยี่ยมภูมิใจเสนอนะครับทั่น

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังดราม่า/ตลก สะท้อนปัญหาสังคมแบบเบลเยี่ยมๆ ที่มีคุณภาพ ดูเพลินเพลิน ให้แง่คิด
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังออกแนวบ้านๆ ไม่มีอะไรโดดเด่นเด้งทะลุจอออกมา อาจจะไม่ดึงดูดใจให้อยากดูนัก




*รีวิวหนังเบลเยี่ยมเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

The Pacific (2010): มหาสงครามถล่มพี่ยุ่น

The Pacific (2010) :
แฟนๆ มินิซีรี่ส์เรื่อง Band of Brothers (2001) คงได้เฮกันยกใหญ่ เมื่อทางผู้สร้างที่นำโดย Steven Spielberg และ Tom Hanks ได้จับมือกับช่อง HBO สร้างมินิซีรี่ส์ความยาว 10 ตอนจบที่เกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สองอีกครั้ง โดยคราวนี้จะเสนอเรื่องราวของเหล่าทหารนาวิกโยธินมะกันที่ต้องไปปะฉะดะกับทหารญี่ปุ่นในทวีปเอเซีย ตั้งแต่ ออสเตรเลีย ไปยัน โอกินาว่า กันบ้างล่ะ


เหล่าพระเอกของซีรี่ส์ชุดนี้
มินิซีรี่ย์สยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิมๆ ไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นภาพการสัมภาษณ์เหล่าทหารผ่านศึกในช่วงแรกของแต่ละตอน เสียงบรรยายที่ให้เสียงโดย Tom Hanks และการใช้ ผกก.หลายๆ คนมากำกับคนละตอนสองตอน (ซึ่งในนั้นมีเพียง Tony To และ David Nutter ที่ได้กลับมากำกับอีกครั้ง) ส่วนความอลังการงานสร้างยังแจ่มได้เช่นเดิม เพราะลงทุนกันถึง 150 ล้านเหรียญ (ขณะที่ Band of Brothers ใช้ทุนสร้าง 125 ล้าน) ฉากแอ็คชั่นก็ดุเดือดชวนให้อะดรีนาลีนพลุ่งพล่านเสียเหลือเกิน


ยังบู๊กันกระหน่ำเช่นเดิม
สิ่งที่แตกต่างจาก Band of Brothers (ต่อไปจะขอเรียกย่อๆ ว่า BoB) อย่างเห็นได้ชัดก็มีดังต่อไปนี้
  • ซีรี่ส์ชุดนี้มีโทนภาพที่มีสีสันดูสว่างเจิดจ้ากว่า เพราะว่าสมรภูมิเป็นเขตร้อนในทวีปเอเซีย ในขณะที่ BoB โทนสีออกแนวซีดๆ และชวนให้นึกถึง Saving Private Ryan (1998) อย่างแรง
  • สภาพของเหล่าทหาร น.ย.ในซีรี่ส์นี้ออกแนวมอมแมมซกมก มอซอ กว่าเหล่าทหารพลร่มใน BoB เยอะ เพราะสมรภูมิอยู่ในเขตร้อนชื้น ที่มีฝนตกเกือบตลอดเวลา ทำให้สภาพแวดล้อมเฉอะแฉะเต็มไปด้วยขี้โคลน เหล่า น.ย.จึงดูเท่น้อยกว่าทหารที่ไปรบในยุโรปแยะ
  • ซีรี่ส์นี้เน้นดราม่านอกสนามรบหรือในแนวหลังมากกว่าที่มีใน BoB จึงเป็นทั้งจุดแข็งที่ทำให้ดูมีชีวิตจิตใจมากกว่าจะเน้นฆ่าฟันกันให้ดู ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ซีรี่ส์มีฉากรบพุ่งให้ดูน้อยลงกว่า BoB แยะจนหลายคนอาจจะติงว่าไม่มันส์เท่าเอาได้
  • ซี่รี่ส์โฟกัสไปที่เรื่องราวของทหารสามนาย ทำให้เรื่องราวกระจัดกระจายไปคนละตอนสองตอน ซึ่งแตกต่างจากใน BoB ที่เน้นไปยังตัวละครหลักเกือบตลอดสิบตอนเลย แต่เพื่อความครอบคลุมของเนื้อหาโดยรวมก็ถือว่าหยวนๆ ละกัน


จากนาซีมาเจอทหารญี่ปุ่นกันบ้าง
และที่จะลืมไม่ได้เลยคือดนตรีประกอบจาก Han Zimmer ที่แท็คทีมมากับ Geoff Zanelli และ Blake Neely ซึ่งยังคงออกมายอดเยี่ยมไม่แพ้ผลงานของ Michael Kamen ผู้ล่วงลับจากซีรี่ส์ BoB เลยทีเดียว โดยรวมแล้วซีรี่ส์ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว ให้แง่คิด ดูเอาสนุกก็ได้ และยังได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์อีก แฟนๆ หนังสงคราม หรือแฟนๆ ซีรี่ย์ BoB คงจะไม่ผิดหวังกันแน่เชียว

ทหารซีรี่ส์ชุดนี้ออกแนวซกมกกว่าชุดที่แล้ว
ในซีรี่ส์มีฉากหนึ่งที่เหล่าตัวละครที่รอดชีวิตกลับมาจากสนามรบ รำพึงให้กันฟังว่า "ทำไมพวกเราถึงรอดมาได้ ในขณะที่อีกหลายๆ คนไม่สามารถรอดกลับมา?" ซึ่งระหว่างที่ดูซีรีส์นี้หรืออาจจะรวมถึงหนังสงครามทุกเรื่องก็ทำให้เราคิดได้ว่า ในสนามรบแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร เก่งกล้ามาจากไหน ก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่รับประกันว่าคุณจะรอดตายเสมอไป เพราะการที่ใครจะตายหรือไม่ตายในสนามรบนั้นมันนอกเหนือจากการควบคุมของเราแล้ว จนอาจจะพูดไปเลยก็ได้ว่า "ถ้าเราจะตาย เราก็ตาย แต่ถ้าเราจะไม่ตาย ยังไงๆ เราก็ไม่ตาย" นี่แหล่ะคือความจริงง่ายๆ ที่เราไม่อาจปฏิเสธได้ครับพี่น้อง
  • น่าดูเพราะ: เป็นซีรี่ส์สงครามโลกครั้งที่สองที่ยอดเยี่ยม แฟนๆ หนังสงครามหรือแฟนซีรี่ส์ BoB ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
  • ไม่น่าดูเพราะ: บู๊น้อยกว่า BoB และมีความยาวทั้งหมด 10 ตอน จึงไม่เหมาะกับผู้ที่ไม่ชอบหนังสงครามและผู้ที่ไม่ชอบดูอะไรยาวๆ เด้อ




*ย้อนรอยซีรี่ส์ดัง*

Band of Brothers (2001) :
ด้วยความสำเร็จมหาศาลของ Saving Private Ryan (1998) Steven Spielberg และ Tom Hanks เลยขอทำมินิซีรี่ย์ 10 ตอนจบ ที่เล่าเกี่ยวกับการรบในยุโรปของทหารอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยโฟกัสไปยังมิตรภาพระหว่างพี่น้องร่วมรบใน Easy Company ซึ่งเป็นกองร้อยที่ 5 ใน กองพันพลร่มที่ 506 ของกองพลส่งทางอากาศที่ 101 แห่งกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่โดดร่มลงไปในฝรั่งเศสไปยันบุกถึงเยอรมันเลยทีเดียว


นี่คือซีรี่ย์สงครามคลาสสิคที่ไม่ควรพลาด
ซีรี่ย์สร้างได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถให้อารมณ์ราวกับว่ากำลังได้ดู Saving Private Ryan ความยาว 10 ช.ม.อยู่ก็ไม่ปาน โดยมีเหล่า ผกก.ชื่อดังผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมากำกับคนละตอนสองตอน (Tom Hanks ก็ยังขอกำกับอยู่หนึ่งตอนด้วย) สำหรับภาพรวมแล้วถือได้ว่านี่เป็นมินิซีรี่ย์สงครามที่ยอดเยี่ยมมากที่สุดเรื่องหนึ่ง ซึ่งตัวมินิซีรี่ย์ได้รับรางวัลเอ็มมี่, ลูกโลกทองคำ และอีกมากมาย ปัจจุบันยอดขายดีวีดี บลูเรย์ของซีรี่ย์ยังขายดีติดอันดับต้นๆ แม้แต่เหล่าเกมสงครามต่างๆ ก็ยังลอกไอเดียฉากรบในซีรี่ย์ไปใช้ในเกมกันให้เกร่อ ซึ่งคงจะพิสูจน์ถึงความยอดเยี่ยมของซีรี่ย์ชุดนี้ได้เป็นอย่างดี


เต็มไปด้วยเหล่าดารา(หนุ่ม)คุณภาพ